ชาวบ้านวอนขอพระกลับวัด หลังทหารรวบพระ-ขู่จับสึกทันทีหากกลับเข้าพื้นที่

ชาวบ้านวอนขอพระกลับวัด หลังทหารรวบพระ-ขู่จับสึกทันทีหากกลับเข้าพื้นที่

รายงานโดย: ศรายุทธ ฤทธิพิณ
สำนักข่าวเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
www.esaanlandreformnews.com

23 มี.ค. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดป่าโคกหนองสิม อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 21 -22 มี.ค.2558 ชาวบ้านร่วมกันทำฐานเสริมพระประธาน จากที่เว้นช่วงมาหลายวัน หลังจากเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2558 ทหารได้จับพระสงฆ์บังคับให้ออกจากวัดพร้อมขู่หากกลับเข้ามาที่วัดจะจับสึกทันที ถึงขณะนี้ชาวบ้านวอนขอให้ผู้มีอำนาจสั่งการให้นิมนต์พระกลับวัด เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ และเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาดังเดิม

20152303203343.jpg

20152303203739.jpg

ธันวา ลาวินทร์ ชาวบ้านดอนดู่ ต.บัวแดง อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด เล่าถึงเหตุการณ์วันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า กองกำลังเจ้าหน้าที่ประกอบด้วยจังหวัดทหารบกร้อยเอ็ด กองทัพภาคที่สอง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กว่า 60 นาย เข้ามาลงตรวจสอบพื้นที่สาธารณะประโยชน์โคกหนองสิม พร้อมจัดเวทีรับฟังข้อมูล ซึ่งชาวบ้านได้เข้าร่วมด้วย และพยายามชี้แจงความเป็นมานับแต่ช่วงปี 2519 ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ดสาขาเกษตรวิสัย ร่วมกับสภาตำบลโพนสูง ได้เข้ามาสำรวจและรังวัดปักแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ “โคกหนองสิม” 

การปักแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวได้ซ้อนทับที่ดินของราษฎร และชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องในเรื่องที่ดินทำกินมานับแต่นั้น กระทั่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา ตามที่จังหวัดร้อยเอ็ดมีหนังสือที่ รอ 0019/10569 และหนังสือ ที่ รอ 0019/10570 ลงวันที่ 28 มิ.ย.2550 เรื่องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับที่ดินสาธารณประโยชน์“โคกหนองสิม” โดยให้ชะลอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในส่วนที่มีการคัดค้านไว้ก่อน

ธันวา เล่าต่อว่า วันนั้นแม้ชาวบ้านจะร่วมกันแสดงเอกสารประกอบว่า ในพื้นที่ได้มีกระบวนการแก้ไขปัญหาอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับฟัง นอกจากยืนยันให้ออกจากพื้นที่ โดยขีดเส้นให้ชาวบ้านทั้ง 42 ครอบครัว ไปลงชื่อแจ้งความประสงค์ที่จะอพยพออกจากพื้นที่ต่อหน่วยงานที่องค์การบริหารส่วนตำบลโพนสูงในวันถัดไป หากไม่ปฏิบัติตามจะเข้ามาทำการอพยพออกเอง พร้อมทั้งจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาด ซึ่งชาวบ้านพร้อมใจไม่ไปร่วมลงชื่อ โดยยืนยันจะขอต่อสู้ในเรื่องสิทธิที่ดินทำกินเดิมที่สืบสอดมาจากบรรพบุรุษเป็นการต่อไป และในวันที่ 17 ก.พ.58 ชาวบ้านได้ไปยื่นหนังสือเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่สำนักงานสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

20152303203421.jpg

ธันวา กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องเศร้าใจในทางพระพุทธศาสนา นอกจากไล่ชาวบ้านแล้ว เจ้าหน้าที่ยังทำการรื้อถอนวัดออกจากพื้นที่ พร้อมจับพระออกจากวัด ทั้งขู่ว่าหากกลับเข้ามาจะจับสึกโดยทันที ถึงวันนี้พระท่านยังไม่กล้ากลับเข้ามาจำวัด แต่มาถึงวันนี้นอกจากท่านจะห่วงวัดแล้ว ยังเป็นห่วงพระประธานที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยได้มอบหมายให้ญาติโยมนำเงินที่เหลือจากผ้าป่ามาร่วมกันเสริมฐานรองพระประธานให้แข็งแรงมั่นคงกว่าเดิม เพราะเกรงว่าจะทรุดลงเนื่องจากที่รองฐานพระประธานเป็นเพียงคันดิน และหลายวันมานี้ฝนได้ตกลงมาอย่างแรงและต่อเนื่องหลายวัน

“สำหรับเงินผ้าป่าที่นำมาทำฐานรององค์พระประธานนั้น เป็นเงินผ้าป่าส่วนที่เหลือประมาณ 30,000 บาท จากคณะผ้าป่าที่ชาวบ้านร่วมกันถวายมาก่อนหน้าที่ทหารจะเข้ามา สำหรับเงินผ้าป่านี้ก็ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอีก คือในวันที่เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่และทหารเข้ามา เป็นวันเดียวกับที่ทางคณะผ้าป่าทั้งจากในกรุงเทพฯ และจากหลายพื้นที่ได้ร่วมกันจะมาถวายวัดเป็นเงินจำนวนกว่า 90,000 บาท ทำให้ทางคณะผ้าป่าไม่กล้าถวาย และเปลี่ยนไปมอบให้แก่โรงเรียนบ้านโคกก่องแทน หลังจากเจ้าหน้าที่กลับออกไปแล้ว ทางโรงเรียนจึงได้นำเงินมามอบให้วัด จำนวน 30,000 บาท” ธันวา กล่าว ทิ้งท้าย

20152303203528.jpg

ด้านไสว มาลัย ผู้ประสานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) โซนร้อยเอ็ด กล่าวเพิ่มเติมว่า วัดป่าโคกหนองสิม เดิมเป็นชุมชนเก่า ชื่อหมู่บ้านโคกเพ๊ก มีสมาชิกประมาณ 21 ครัวเรือน ชาวบ้านได้ร่วมบริจาคที่ดินทำกินเพื่อสร้างวัดให้เป็นศูนย์รวมจิตใจและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และทั้งพระกับชาวบ้านได้ร่วมกันก่อสร้างสิม (โบสถ์) ตั้งอยู่ในหนองน้ำ จึงได้เรียกว่าหนองสิมในเวลาต่อมา กระทั่งทางราชการประกาศที่สาธารณประโยชน์ 

“โคกหนองสิม” มีเนื้อที่ประมาณ 84 ไร่ ซ้อนทับที่ดินทำกินของราษฎร ทั้งที่ชาวบ้านได้มีเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่ ภทบ.6 มาก่อนหน้านี้ ต่อมาช่วงปี 2519 หน่วยงานราชการได้เรียกคืนเอกสารการเสียภาษี โดยบอกว่าจะออก นส 3 ก.ให้ ถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้ กระทั่งมาถูกประกาศเป็นที่สาธารณะทับซ้อนที่ทำกิน ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมทั้งวัดที่มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ทำให้ปัจจุบันที่มีพระจำพรรษาสืบต่อกันมาตอนนี้ 1 รูป ถูกเจ้าหน้าที่จับออกไป

ไสว กล่าวว่า จากวันที่ 17 ก.พ.58 ชาวบ้านร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เข้าประชุมกับหน่วยงานรัฐ เพื่อปรึกษาหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของ ขปส. ดังนี้ 1.กรณีปัญหาชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 2.กรณีชุมชนเพิ่มทรัพย์ ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี 3.กรณีปัญหาที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม ต.โพนสูง อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 2 อาคารสำนักงาน ก.พ. 

ต่อมามีหนังสือที่ นร.0105.04/1697 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และจังหวัดร้อยเอ็ด ขอความร่วมมือชะลอการดำเนินการใดๆ ที่อาจเป็นมูลเหตุให้เกิดความขัดแย้ง หรืออาจให้เกิดความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตตามปกติสุข และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐตามวิถีปกติไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการพิจารณาของส่วนราชการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ตามแต่กรณีจะมีผลเป็นที่ยุติต่อไป

20152303203851.jpg

ทั้งนี้ชาวบ้านยังไม่คลายกังวลใจ เพราะต้องการให้ยกเลิกคำสั่งไล่รื้อโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาตามมากระทบเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้พระยังไม่กล้ากลับวัด โดยชาวบ้านอยากร่วมกันไปนิมนต์กลับมา เพื่อให้มาเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวบ้านดังเดิม เพราะทุกวันนี้ที่วัดไม่มีพระ ชาวบ้านจะร่วมกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็ไม่ได้ 

“ทั้งตามกุฏิ หรือตามสถานที่ท่านได้ประกอบพิธีกรรมฐาน เช่น โบสถ์ หรือสถานที่ท่านเดินจงกรม ทุกวันนี้ก็ว่างเปล่า รกร้าง การบูรณะวัดที่จะดำเนินการก่อสร้างต่อไปก็ติดขัดขณะเดียวกันใกล้ก็จะถึงวันสงกรานต์แล้ว และจะมีประเพณีต่างๆ ตามวิถีชีวิตชาวบ้านอีสาน คือ ฮีต 12 คอง 14 ตามมาอีก ที่สำคัญใกล้ถึงช่วงวันเข้าพรรษาในเร็วๆ นี้ จึงต้องการให้นิมนต์พระกลับมาจำพรรษาที่วัดโดยด่วน ใคร่ขอให้ผู้มีอำนาจสั่งการลงไปให้สามารถนำพระกลับมาจำที่วัดได้ดังเดิม เพราะจาการสอบถามท่านยังเกรงในสิ่งที่ได้ถูกข่มขู่ มาจนถึงทุกวันนี้” ไสว กล่าว

 

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ