Thai Violence Watch : ความเสี่ยงเหตุรุนแรงยังอยู่ระดับต่ำ แต่ให้ระวังจุดชุมนุมแจ้งวัฒนะและลาดพร้าว

Thai Violence Watch : ความเสี่ยงเหตุรุนแรงยังอยู่ระดับต่ำ แต่ให้ระวังจุดชุมนุมแจ้งวัฒนะและลาดพร้าว

อาสาสมัครจากศูนย์ข้อมูลติดตามสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ระดมเก็บข้อมูลการชุมนุมทางการเมืองประมวลผลวัดระดับความรุนแรง  ระบุภาพรวมความเสี่ยงต่อความรุนแรงในการชุมนุมวันนี้อยู่ในระดับต่ำ ยกเว้น พื้นที่แจ้งวัฒนะและห้าแยกลาดพร้าว ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวพลเมือง ThaiPBS รายงานว่า ขณะนี้มีกลุ่มอาสาสมัคร ที่รวมตัวกันจากอาสาสมัครสักขีพยาน ร่วมกันหลายมหาวิทยาลัยและเคยมีประสบการณ์ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553  กระจายกำลังกันลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และชี้วัดถึงความรุนแรงทางการเมืองโดยรายการผ่านเว็บไซด์ ศูนย์ข้อมูลติดตามสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง http://www.thaiviolencewatch.com/  เป้าหมายเพื่อรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงของสถานการณ์อย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองนี้ได้ดีขึ้น นำไปสู่การค้นหาแนวทางการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยเกิดความรุนแรงน้อยที่สุดได้

ในการติดตามและวัดประเมินระดับความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงในพื้นที่่ต่างๆที่มีสถานการณ์การชุมนุมทางศูนย์ข้อมูลติดตามสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ได้ออกแบบตัวชี้วัดความรุนแรงของสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งมาจากการระดมความคิดจากนักวิชาการและเหล่าผู้มีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติงานภาคสนาม
เพื่อเฝ้าระวังและจัดการความรุนแรง ประกอบด้วยตัวชี้วัดคือ

  1. ลักษณะและเนื้อหาของการปราศรัย
  2. ลักษณะพฤติกรรมโดยรวมของผู้เข้าร่วมชุมนุม
  3. การจัดการสภาพแวดล้อมในการชุมนุม
  4. การตอบสนองคำสั่งของผู้นำ
  5. ระยะเวลาของการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มชุมนุม หรือกับเจ้าหน้าที่รัฐ
  6. ระดับการตระเตรียมการด้านวัสดุ / อุปกรณ์ ของกลุ่มผู้ชุมนุม
  7. ความเสี่ยงในการเกิดเหตุ “ม็อบชนม็อบ”
  8. พื้นที่กันชน (Buffer Zone)
  9. สภาพการปฏิบัติงานของหน่วยแพทย์/พยาบาล ภายในพื้นที่ชุมนุม
  10. ระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่พบ
  11. ระดับความแตกต่างทางอาวุธ
  12. ความรุนแรงของอาวุธ
  13. มาตรการต่างๆอันเป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมาย
  14. ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการควบคุมสถานการณ์ 

20141301150234.jpg

โดยผลการประเมินสถานการณ์จะได้รับการวัดระดับออกมาเป็น 4 ระดับ โดย 

  • ระดับที่ 1  = มีความเสี่ยงในระดับต่ำ
  • ระดับที่ 2  = มีความเสี่ยงในระดับปานกลาง ต้องเฝ้าระวัง
  • ระดับที่ 3  = มีความเสี่ยงในระดับสูง ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
  • ระดับที่ 4  = มีความเสี่ยงในระดับวิกฤติ 

นอกจากนี้ยังมีการนำผลการประเมินดังกล่าวมาวิเคราะห์ระดับความเสี่ยงรายพื้นเพื่อระบุโซน  ออกเป็นสองโซนดังนี้ 

  • 1)  Warm Zone พื้นที่ที่มีค่าระดับความเสี่ยงตั้งแต่ 0 – 2.99
  • 2)  Hot Zone พื้นที่ที่มีค่าระดับความเสี่ยงตั้งแต่ 3.00 – 4.00

ทั้งนี้ในการติดตามผลในแต่ละวันจะมีการเก็บข้อมูลเพื่อทำาการประเมินจำนวนสองครั้งในเวลา 13.00 น. และ 21.00 น.*หากสถานการณ์มีความผันผวน อาจมีการกำหนดความถี่ และวงรอบในการประเมินที่เปลี่ยนไปตามความจำเป็น

โดยการประมวลผล ณ เวลา 13.00 น. วันที่ 13-01-2557   พบว่าระดับความเสี่ยงต่อความรุนแรงในสถานการณ์การชุมนุม (รวมทุกพื้นที่)  0.93เพิ่มขึ้น 0.005 จุด  จัดเป็นความเสี่ยงอยู่ในระดับ  ต่ำ  จากเกณฑ์ชี้วัด 4 ระดับ*แต่พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความรุนแรงสูงสุด ในสถานการณ์การชุมนุม คือเวที กปปส.ห้าแยกลาดพร้าว อยู่ในระดับ 1.38 ความเสี่ยงอยู่ในระดับ  ปานกลาง  จากเกณฑ์ชี้วัด 4 ระดับ*

20141301150258.jpg

โดยภาพรวมความเสี่ยงต่อความรุนแรงในการชุมนุมอยู่ในระดับต่ำ จากเกณฑ์ชี้วัด 4 ระดับ  ยกเว้น พื้นที่แจ้งวัฒนะและห้าแยกลาดพร้าว ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีจำนวนมาก โดยเฉพาะเวทีปทุมวันและเวทีราชประสงค์ที่ท้ายขบวนบรรจบกัน พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความรุนแรง คือ แจ้งวัฒนะ เนื่องจากมีผู้ถูกทำร้ายเมื่อคืนนี้ ประกอบกับมีความขัดแย้งระหว่างชุมนุมกับประชาชนในพื้นที่เล็กน้อย และห้าแยกลาดพร้าว เนื่องจากตรวจพบวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซต์มาวนเวียน โดยที่ไม่มีการตรวจจาก รปภ. /การ์ด ที่ชัดเจนในจุดเข้าทั้งสองทาง และไม่พบเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ชุมนุม นอกจากนี้ พบผู้ชุมนุมบางส่วนหน้าที่หน้ากระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานด้วย

ทั้งนี้จะมีการประเมินความเสี่ยงครั้งต่อไป เวลา 21.00 น. วันที่ 13-01-2557

ศูนย์ข้อมูลติดตามสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ระบุว่าสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆในประเทศไทยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2556 เป็นต้นมา เกิดกระแสการตื่นรู้ทางการเมืองของพลเมืองเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มีการชุมนุมเพื่อแสดงออกถึงความคิดเห็นทางการเมืองเกิดขึ้นโดยประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ทั้งในการชุมนุมแบบยืดเยื้อ และการชุมนุมเชิงสัญญลักษณ์ ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งในหลายเหตุการณ์มีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนกลุ่มคนร้ายไม่ทราบฝ่าย มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 461 คน เสียชีวิต 8 คน ซึ่งยังรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 25 คน (รวมทุกเหตุการณ์ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556)

ในสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆความจริงถูกตีความให้มีหลายความเป็นไปได้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายตน ซึ่งหลายครั้งมีข้อมูลที่ได้จากการทำงานของอาสาสมัครสังเกตการณ์กลุ่มต่างๆที่มีการปฏิบัติงานพื้นที่จริงในเหตุการณ์ยังไม่ได้มีการเก็บรวมรวมอย่างเป็นระบบ ทำให้ประเด็นที่ถูกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆทั้งฟรีทีวีและอินเตอร์เน็ต ถูกนำไปเป็นประเด็นขยายความขัดแย้งของสถานการณ์ให้มีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างจากการที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นอาชีวะถูกทำร้าย บริเวณสี่แยกคอกวัว แต่มีเผยแพร่ข่าวออกไป 3 แบบ คือ 1.กลุ่มอาชีวะถูกกลุ่มเสื้อแดงทำร้าย 2.กลุ่มอาชีวะทะเลาะกับการ์ดเวทีราชดำเนิน 3.กลุ่มอาชีวะทะเลาะกับพ่อค้าแม่ค้าในบริเวณนั้น หรือกรณีการปะทะบริเวณสนามกีฬา(ไทย-ญี่ปุ่น) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556  มีข้อถกเถียงเรื่องกลุ่มคนที่ทุบรถประชาชน มีความเป็นไปได้ที่ถูกตีความเป็นเครื่องมือในการกดดันสถานการณ์ให้เกิดความเกลียดชังกันมากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลจากกลุ่มผู้ชุมนุมเสนอว่าเป็นตำรวจจริง อีกกลุ่มบอกเป็นตำรวจเขมร ข้อมูลจากฝั่งรัฐบอกเป็นผู้ชุมนุมที่นำเครื่องแบบตำรวจที่ขโมยมาใส่ เป็นต้น ซึ่งความคลุมเครือของข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกนำไปตีความเพื่อประโยชน์ฝ่ายตนซึ่งการตีความและสื่อสารในลักษณะเช่นนี้ หลายครั้งเป็นการขยายความขัดแย้งและเกลียดชังไปสู่คนกลุ่มต่างๆเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ยากเยียวยาและรอคอยการเดินทางเข้าสู่ความรุนแรงในรอบใหม่ได้

แม้ว่าในปัจจุบัน จะมีเครือข่ายภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาครัฐบางหน่วย เช่น ศูนย์เอราวัณ กทม. ศูนย์นเรนทร และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและเชื่อมประสานทางนโยบายและการทำงานในพื้นที่เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดความรุนแรง และบรรเทาสถานการณ์เมื่อเกิดความรุนแรง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เพื่อรักษาชีวิตของทุกฝ่าย แต่ยังไม่ได้มีการรวบรวมข้อมูลสำคัญที่ได้จากการปฏิบัติงานเพื่อประเมินระดับและสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหากรวบรวมได้ก็จะทำให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและบรรเทาความขัดแย้งได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศูนย์กลางเพื่อรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงของสถานการณ์อย่างเป็นระบบ ประเมินเหตุการณ์ ประมวลภาพรวมของเหตุการณ์ บันทึกข้อมูลและถอดบทเรียนและยกระดับองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นเพื่อให้คนกลุ่มต่างๆในสังคมได้เรียนรู้และทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองนี้ได้ดีขึ้น นำไปสู่การค้นหาแนวทางการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยเกิดความรุนแรงน้อยที่สุดได้

นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้ยังจะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการประสานงานของเครือข่าย กลุ่ม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ เพื่อดูแลและจัดการให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองได้รับการชดเชยเยียวยา ทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุม ตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดต่อไป

การทำงานของศูนย์ข้อมูลติดตามสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง จะใช้วิธี

  1. Fact Finding   ค้นหาและรวบรวมข้อเท็จจริงตรวจสอบข้อเท็จจริง ถอดบทเรียนการทำงานภาคสนาม
  2. Watch dog    ติดตาม เฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์
  3. Early Warning   สร้างตัวชี้วัดระดับความรุนแรง (Indicator) ทำการ  เฝ้าระวังและเตือนสังคมทันที เมื่อตรวจพบแนวโน้ม หรือนัยสำคัญที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง
  4. Field Support  สนับสนุนการทำงานภาคสนาม ประสานงานเครือข่ายผู้ปฏิบัติงาน
  5. Knowledge Management จัดการรวบรวมองค์ความรู้ และยกระดับองค์ความรู้เพื่อเสนอต่อสาธารณะ

โดยมีแหล่งข้อมูลจาก

  1. ผู้ประสบเหตุ (ผู้บาดเจ็บ/ครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นต้น)
  2. หน่วยงานทางการแพทย์ (แพทย์สนาม , หน่วยแพทย์อาสา , อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย , หน่วยงานทางการแพทย์ในกำกับของรัฐ)
  3. กลไกความร่วมมือทุกฝ่าย(ผู้ชุมนุมทุกกลุ่ม,เจ้าหน้าที่ตำรวจ)
  4. กลไกสังเกตการณ์
  5. เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง(ตำรวจ/ทหาร เป็นต้น)

สำหรับภาคีร่วมเฝ้าระวังและจัดการความรุนแรงจากสถานการณ์ทางการเมือง ประกอบด้วยศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กลไกความร่วมมือหลายฝ่ายในการเฝ้าระวังและจัดการความรุนแรง  กลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน  เครือข่ายพลเมืองเฝ้าระวังความรุนแรงทางการเมือง  เครือข่ายสันติอาสาสักขีพยาน  มูลนิธิองค์รกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-NET)  สถาบันปฏิบัติการทางสังคมและฝึกอบรมอาสาสมัครไทย (CNSA)  องค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก (DPI/AP)  สามารถติดต่อได้ที่ Call Center : 094-898-4417 : 094-898-4418    e-mail : violenceindicator@gmail.com

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ