14 มี.ค. 2559 กลุ่มด้วยใจ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี ออกแถลงการณ์ร่วม กรณีเหตุการณ์การปฏิบัติการทางอาวุธในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ขอให้ทุกฝ่ายปกป้องต่อระบบสาธารณสุข
จากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส และมีคนร้ายหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวใน โรงพยาบาลเจาะไอร้อง เมื่อวานนี้ (13 มี.ค. 2559) อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวหลังเกิดเหตุระบุว่า มีการตรวจสอบพบว่าไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายบุคลากร และผู้มารับบริการในโรงพยาบาล ทุกคนปลอดภัย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นมีเพียงข้าวของเสียหาย อาทิ คอมพิวเตอร์ โต๊ะ ประตู
“ในเหตุการณ์ครั้งนี้การที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สถานพยาบาล และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ถูกทำลายเนื่องมาจากปฏิบัติการทางอาวุธของกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการกระทำที่รับไม่ได้ เพราะได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของผู้ป่วยและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะทำให้พวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือและการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที อาจส่งผลโดยตรงต่อความเป็นความตายของผู้ป่วย และผู้บาดเจ็บที่กำลังรอรับการรักษาพยาบาล” แถลงการณ์องค์กรสิทธิมนุษยชนฯ ระบุ
แถลงการณ์ระบุข้อเรียกร้องขององค์กรสิทธิมนุษยชนที่มีพื้นที่ปฏิบัติงานในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองทางกฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ดังนี้
1. ขอให้กองกำลังทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่
2. ขอให้รัฐและฝ่ายต่อต้านรัฐทบทวนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในการปฏิบัติการทางทหารที่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะระบบงานสาธารณสุข
3. ไม่ว่ากองกำลังฝ่ายใดก็ตาม จะต้องยุติการโจมตีหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณะสุข หรือใช้หน่วยงานดังกล่าวเป็นที่ปฏิบัติการด้วยอาวุธหรือขัดขวางหรือสร้างอุปสรรคใดๆต่อการปฏิบัติหน้าที่ด้านการแพทย์หรือสาธารณะสุขโดยเด็ดขาด ทั้งนี้หมายรวมถึงการโจมตีสถานศึกษา ศาสนสถานและสถานที่ประกอบศาสนกิจ ตลาดและสถานที่สาธารณะอื่นด้วย
4. ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสอบสวนและดำเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรมดังกล่าว
ทั้งนี้รายละเอียดแถลงการณ์ มีดังนี้
กลุ่มด้วยใจ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี แถลงการณ์ร่วม กรณีเหตุการณ์การปฏิบัติการทางอาวุธในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ขอให้ทุกฝ่ายปกป้องต่อระบบสาธารณสุข จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเจาะไอร้องเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 นพ.โสภณ เมฆธนปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าบุกเข้ามาไม่นานมาก และไม่ได้ทำร้ายร่างกายบุคลากรในโรงพยาบาล มีเพียงข้าวของเสียหาย มีคอมพิวเตอร์ โต๊ะ ประตู ซึ่งแพทย์พยาบาล บุคลากรทุกคนปลอดภัยดี รวมทั้งผู้มารับบริการก็ไม่ได้รับการบาดเจ็บโดยจะมีการส่งตัวแทนระดับสูงลงพื้นที่ไปตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อกระทรวงสาธารณสุขต่อไป เหตุการณ์ในโรงพยาบาลเจาะไอร้องครั้งนี้มีรายงานจากหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงว่าเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากเหตุการณ์โจมตี ฐานปฏิบัติการร้อย ทพ.4816 กรมทหารพรานที่ 48 หมู่ 2 ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลเจาะไอร้องก่อนที่เข้าไปในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ทั้งนี้ขอแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้ปฏิบัติการอย่างระมัดระวัง ไม่ได้โจมตีด้วยความรุนแรงโต้ตอบไป จนสามารถระงับเหตุไม่ให้การปะทะในโรงพยาบาลที่อาจส่งผลกระทบต่อบุคลากรทางการการแพทย์ ผู้ป่วย ญาติ และสาธารณชนโดยรวมในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ในเหตุการณ์ครั้งนี้การที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สถานพยาบาล และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ถูกทำลายเนื่องมาจากปฏิบัติการทางอาวุธของกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการกระทำที่รับไม่ได้ เพราะได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของผู้ป่วยและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะทำให้พวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือและการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที อาจส่งผลโดยตรงต่อความเป็นความตายของผู้ป่วย และผู้บาดเจ็บที่กำลังรอรับการรักษาพยาบาล “การปฏิบัติการทางอาวุธโดยเจตนาที่มีผลต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้ป่วย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ การทำลายสถานที่ที่ใช้ในการรักษาพยาบาล รวมไปถึงการทำลายรถที่เป็นพาหนะที่ช่วยลำเลียงผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บล้วนเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อข้อตกลงในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ขอเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐรวมทั้งภาคส่วนต่างๆ และประชาชน ที่ต้องให้ช่วยกันปกป้องให้การทำงานของฝ่ายสาธารณสุขได้รับผลกระทบน้อยที่สุด กระทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางหรือสร้างอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง” อัญชนา หีมมิน๊ะห์ หัวหน้ากลุ่มด้วยใจ กล่าว ถึงแม้จังหวัดชายแดนใต้ไม่ได้ถูกประกาศเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งด้วยอาวุธ จึงเป็นข้ออ้างในการไม่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศนี้ แต่หลักการนี้เป็นการปกป้องประชาชนจึงควรถือเป็นพันธะสัญญาที่ทั้งสองฝ่าย คือกองกำลังของรัฐและกองกำลังที่ไม่ใช่รัฐยอมรับและใช้หลักการนี้ด้วย องค์กรสิทธิมนุษยชนที่มีพื้นที่ปฏิบัติงานในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองทางกฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จึงขอเรียกร้องดังนี้ 1. ขอให้กองกำลังทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ 2. ขอให้รัฐและฝ่ายต่อต้านรัฐทบทวนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในการปฏิบัติการทางทหารที่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะระบบงานสาธารณสุข 3. ไม่ว่ากองกำลังฝ่ายใดก็ตาม จะต้องยุติการโจมตีหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณะสุข หรือใช้หน่วยงานดังกล่าวเป็นที่ปฏิบัติการด้วยอาวุธหรือขัดขวางหรือสร้างอุปสรรคใดๆต่อการปฏิบัติหน้าที่ด้านการแพทย์หรือสาธารณะสุขโดยเด็ดขาด ทั้งนี้หมายรวมถึงการโจมตีสถานศึกษา ศาสนสถานและสถานที่ประกอบศาสนกิจ ตลาดและสถานที่สาธารณะอื่นด้วย 4. ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสอบสวนและดำเนินการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรมดังกล่าว |