- วัยเด็กเรียนหนังสือที่โรงเรียนพิมานวิทย์ จังหวัดนราธิวาส
- เริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
- มีพี่ชายเป็นไอดอล มีคุณพ่อแม่เป็นผู้ผลักดัน
- เริ่มเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพที่สโมสรในยุโรปตอนอายุ 16 ปี
- เจ้าของส่วนสูง 196 ซม. สู่ลีกอาชีพเมืองไทยตอนอายุ 22 ปี
- อายุ 26 ปี ติดทีมชาติไทยครั้งแรกยุค “อากิระ นิชิโนะ”
เรื่องราวของนักแตะไทยคนแรกในรอบ 14 ปี ที่ปรากฏตัวในยอดทีมลีกสูงสุดของอินโดนีเซียอย่าง บาหลี ยูไนเต็ด ในตำแหน่ง กองหลัง ต่อจากสุเชาว์ นุชนุ่ม และสินทวีชัย หทัยรัตนกุล นั่นก็คือ “เอเลียส ดอเลาะ” หรือชื่อเต็มคือ “ยูเซฟ เอเลียส(อิลยาส) ดอเลาะ”นักเตะไทยเชื้อสายมลายู ลูกครึ่งไทย-สวีเดน บุตรชายของนายอิสมาแอ ดอเลาะ ชาวนราธิวาส อดีตโค้ชระดับเยาวชนสโมสร ดาลบี้ จีไอเอฟ และยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของทีมในสวีเดน อย่าง ลูนด์ บีเค
“ผมรักฟุตบอล ครอบครัวเรารักฟุตบอล”
เอเลียส ดอเลาะ
คำพูดของอิสมาแอ ดอเลาะ ผู้เป็นพ่อบอกกับเราก่อนจะเล่าต่อให้ฟังว่าเมื่อตอนอายุ 25 ปีครั้นเมื่อคุณพ่อกำลังศึกษาด้านเทคนิคเคิลที่ประเทศสวีเดน ด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนชอบฟุตบอล ขณะเดียวกันคุณแม่ชาร์ล็อตต์ ดอเลาะ ซึ่งเป็นนักฟุตบอลที่เล่นในลีคสวีดิชขณะนั้น ทำให้เขาทั้งสองจึงพบรักกันที่สนามฟุตบอล ความหลงไหลและจิตใจคือเรื่องเดียวกันเขาทั้งสองจึงตัดสินใจแต่งงานและตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งธุรกิจดำเนินการไปได้อย่างดี
Football
เอเลียส ดอเลาะ เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2536 ที่เมืองดอลบี้ (Dalby) เป็นเมืองเล็กๆ ในทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน เมื่อตอนอายุ 6 ขวบได้กลับมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนพิมานวิทย์ จังหวัดนราธิวาส และใช้ชีวิตวัยเด็กที่กำปงบารูจังหวัดนราธิวาสเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะย้ายกลับไปที่สวีเดน
“ตอนนั้นแม่เอเลียสป่วย เราเลยส่งลูกๆทั้งสามกลับไปเรียนในไทย เวลาผ่านไปหกเดือน ผมกับภรรยารู้สึกคิดถึงลูกจนสุดท้ายทนไม่ได้ ก็เลยกลับมารับเด็กๆไปเรียนต่อที่สวีเดน” คุณพ่อพูดพลางดูรูปถ่ายวันวาน
เริ่มเกมส์
เอเลียสเริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ หลังกลับไปใช้ชีวิตที่สวีเดน โดยมีคุณพ่อเป็นโค้ชคนแรก และยังมีคุณแม่ พี่ชาย พี่สาว ที่เป็นแบบอย่างในการเล่นฟุตบอลด้วย เอเลียสถือได้ว่าเติบโตมาในครอบครัวที่ชื่นชอบฟุตบอล โดยพี่ชายเป็นแบบอย่างในด้านการเล่นฟุตบอล
“ผมมีอดัมเป็นไอดอล เขาเก่งกว่าผมเสมอ ผมต้องพัฒนาตัวเองทุกวันเพื่อที่จะได้เก่งเหมือนอดัมพี่ชายของผม ไม่ใช่แค่ฟุตบอลนะ ผมอยากเก่งเหมือนเขาทุกอย่าง”
เอเลียส ดอเลาะ
แม้เมืองที่เขาเกิดจะเป็นเมืองเล็กๆ อย่างลูนด์ แต่การจัดการของรัฐบาลสวีเดนก็เป็นไปอย่างทั่วถึง โดยกระจายแบ่งเขตเทศบาล เพื่อให้มีสภา ที่ผ่านการเลือกตั้งจากคนในเทศบาล คอยเป็นรัฐบาลขนาดย่อมดูแลประชาชนในท้องถิ่น คอยเป็นตัวกลางการสื่อสารระหว่างรัฐบาลส่วนกลาง กับประชาชนชาวสวีดิช ทำให้การพัฒนาด้านกีฬา ในแต่ละพื้นที่ดำเนินไปอย่างง่ายดาย รัฐบาลสามารถให้การสนับสนุน อย่างตรงจุด ในกีฬาที่ประชาชนต้องการ ประชาชนเองก็มีความสุข ทำให้ระหว่างทางการเติบในเส้นทางสายอาชีพนักกีฬาของเอเลียสได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
เอเลียสเริ่มเล่นจริงจังตอนอายุ 16 เริ่มต้นชีวิตการเป็นนักฟุตบอลกับทีมอาคาเดมีของสโมสรคาลบี้ ก่อนจะถูกสโมสรลุนด์ บีเคดึงเข้าร่วมทีมในปี 2013 พร้อมแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมเยาวชนของสโมสร จนพาทีมคว้าแชมป์ลีกเยาวชนได้ในที่สุด ต่อมาเอเลียสถูกดันให้ขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ของสโมสร เขาเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ รวม 2 ฤดูกาล 21 นัด กับอีก 2 ประตู
“โค้ชบอกกับผมว่าการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ จำเป็นต้องเก็บชั่วโมงฝึกฝนมากกว่าหนึ่งหมื่นชั่วโมง นั่นเลยทำให้ผมมาสนามซ้อมก่อนใคร และกลับหลังเพื่อนทุกครั้ง ผมชอบซ้อม ผมอยากเก่ง ผมอยากให้มันถึงเป้าหมายไวไวและที่สำคัญผมอยากชนะ ”
กระดุมเม็ดแรกสู่ไทยลีค
ในช่วงเวลาปิดฤดูกาล เขาและครอบครัวได้กลับมาเยี่ยมญาติที่นราธิวาสอีกครั้ง ซึ่งในระหว่างนั้นเขาต้องการซ้อมเพื่อรักษาสภาพความฟิตของร่างกาย จึงให้คุณพ่อช่วยติดต่อขอซ้อมกับทีมสงขลา ยูไนเต็ด ทีมระดับดิวิชั่น 1 ของไทย
การฝึกซ้อมผ่านไปได้ด้วยดี แต่ด้วยความสามารถและรูปร่างที่สูงถึง 196 ซม. ดันไปถูกตาต้องใจทีมวัวชนชายแดนใต้ มีการทาบทามให้เข้าไปร่วมทีมอย่างจริงจัง แต่ด้วยขณะนั้นเอเลียสติดสัญญากับสโมสรลุนด์ บีเคอีกหนึ่งฤดูกาล จึงขอกลับไปทำหน้าที่ตามสัญญาจนครบฤดูกาล ก่อนจะเดินทางกลับมาร่วมทีมกับสงขลายูไนเต็ดในปี 2015 ด้วยตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ครองเสื้อหมายเลข 4 เลขเดียวกับที่ที่ใช้เล่นกับสโมสรลุนด์ บีเค มาโดยตลอด
แม้จะเป็นสังคมใหม่ โลกใหม่ของเอเลียสแต่การพัฒนาฝีเท้าของเขากำลังเป็นไปได้สวยกับสโมสรสงขลาอยู่ในเต็ด เขายังคงทำงานหนักและเต็มเปี่ยมไปด้วยแพชชั่น เหมือนครั้งที่ยังเล่นให้ลูนด์ บีเค
ที่นี่เป็นพื้นที่ใหม่ของเอเลียสเขาต้องปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตทั้งในสนามและนอกสนามและที่นี่เองที่ทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งจากกลางรับสู่เซนเตอร์แบ็คจนถึงปัจจุบัน โดยโค้ชชาวญี่ปุ่นนามว่า ”มิซาโตะ ฮายาชิ”
แม็ตช์ประทับใจของเขาเกิดขึ้นในซีซั่นที่สองของการค้าแข้งให้กับสงขลายูไนเต็ด เก็มส์วันนั้นสโมสรการท่าเรือเปิดบ้านต้อนรับผู้มาเยือนอย่างสงขลายูไนเต็ด เอเลียสเดินเข้าสนามในฐานะผู้มาเยือน เขาได้เห็นสนามแข่งที่ไม่มีลู่วิ่งซึ่งให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับแฟนบอลได้ดีมากๆ และความน่ารักของแฟนบอลเจ้าบ้านที่เป็นกันเองและให้เกียรติผู้มาเยือนอย่างเขา เขาตื่นเต้นและประทับใจกับสโมสรแห่งนี้มาก
ผมประทับใจแฟนบอลท่าเรือจริงๆ พวกเขาRespesct ผู้มาเยือนอย่างผม อย่างเราและสนามของเขาก็รู้สึกอบอุ่น ถ้ามีโอกาสย้าย ผมชอบที่นี่ สโมสรแห่งนี้
Like father like son
“ผมจำได้แม่น ค่ำคืนนั้นผมกับเอเลียสเราอยู่กันที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านหน้าราม เราพักชั้นที่สูงพอที่จะเห็นสนามราชมังคลาฯ เขาชี้ให้ผมดูที่สนามและบอกกับผมว่า ปาปา เขาอยากเล่นที่นี่ในนามทีมชาติไทย วันหนึ่งเขาจะต้องติดทีมชาติให้ได้ เขาจะพยายามให้ทุกคนเห็นว่าเขาพร้อม เขาดีพอที่จะติดทีมชาติ” คุณพ่อของเอเลียสเล่าด้วยสีหน้าแห่งความภาคภูมิใจ
“ถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อ”
ชายที่ชื่อน้าอู๋ ผู้ดูแลเอเลียสในระหว่างค้าแข้งกับสงขลายูไนเต็ด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะน้าอู๋เห็นว่าศักยภาพของเอเลียสยังไปได้ไกลและจะต้องไกลกว่านี้ ทำให้ในฤดูกาล 2017 เอเลียสก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับการท่าเรือไทยอย่างที่เขาตั้งใจ กลายเป็นกำลังหลักในแนวรับและมีโอกาสทำหน้าที่กัปตันทีมครั้งแรกในซีซั่นนี้ ที่นี่เอเลียสมีสถิติลงเล่น 158 นัด รวมทุกรายการ ยิงไป 10 ประตู และมีส่วนช่วยพา การท่าเรือ เอฟซี คว้าแชมป์ช้าง เอฟเอคัพ 1 สมัย ในปี 2019
สนามของความฝัน
ในปี 2019 ความฝันก็เป็นจริงเขาถูกเรียกติดทีมชาติไทยครั้งแรก ในนัดกระชับมิตรที่จะพบกับสาธารณรัฐคองโก และฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกในยุค “อากิระ นิชิโนะ” ซึ่งในตอนนั้นเขาอาจลงเล่นได้ไม่เต็มที่ เพราะเขายังไม่ใช่ตัวหลัก ณ เวลานั้น
“สุดท้ายแล้วทีมชาติให้โอกาสสำหรับผม ผมดีใจมาก อยากโชว์ อยากทำเพื่อคนไทย อยากทำเพื่อประเทศไทย ถึงแม้จะได้ลงเพียงยี่สิบนาที แต่ผมดีใจจริงๆ”
เอเลียสเล่าด้วยปลาบปลื้ม
โชคดีแต่ไม่ใช่ทั้งหมด
หลังจากที่สนามราชมังคลาฯเปิดใช้งานได้ปกติหลังปิดปรับปรุงมานาน เอเลียสในนามนักเตะทีมชาติไทย ได้มาเยียบสนามแห่งนี้ตามที่ฝันไว้ ในนัดเปิดบ้านไทยพบทีมชาติจีน
“วันนี้ผมมีโอกาสได้มาที่ราชมังแล้ว ผมหันไปดูผู้คนทำเอาผมขนลุกไปหมด ผมตื่นเต้นมาก เพราะผมรู้ว่าการมายืนตรงนี้ไม่ใช่มาเพราะโชคช่วย ตรงนี้มาจากการทำงานหนัก ผมโชคดีที่ได้รับโอกาส แต่ผมไม่มีโชคพอให้ผมได้ลงไปทำหน้าที่ แต่พูดแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที”
นัดนั้นทีมชาติไทยพ่ายคาบ้านไป 0-2 ต้องไปลุ้นเอานัดหน้า และดูว่าเอเอลียสจะได้รับโอกาสหรือไม่ Luck lucky หรือไม่ luck อาจจะไม่ใช่คำถามที่น่าสนใจ การทุ่มเทและการทำงานหนักจะตอบคำถามนี้เอง
เวทีแจ้งเกิด
แม้จะมีช่วงหนึ่งที่เหมือนจะหายไป แต่ในยุคของ “มาโน่ โพลกิ้ง” เขาถูกเรียกติดทีมชาติเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งซึ่งครั้งนี้เขาผ่านการเตรียมตัวฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี ใช้เวลาพักมาเข้ายิมเพื่อฟิตซ้อมร่างกาย ต้องมีความมั่นใจ เพื่อพร้อมลงสนามในนามทีมชาติไทย
“ถ้าคุณเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แล้วติดทีมชาติด้วย คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด คุณจะไม่มีเวลาหยุดพักเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมชอบนำเสนอประเทศไทยเพื่อคนไทย เพราะนี่มันเป็นโอกาสในชีวิต ในการงานของผม ผมมีความสุข”
เกมส์วันนั้นคือรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพที่ทีมชาติไทยบุกไปเยือนสิงคโปร์ เกมส์เปิดหน้าแลกกันอย่างดุเดือด กระทั่งนาทีที่ 30.34 ทีมชาติไทยได้เตะฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษเยื้องขวา บดินทร์ ผาลา ยิงฟรีคิกไปชนคานแล้วโดนตัวผู้รักษาประตูสิงคโปร์และกระดอนมาเข้าทางเอเลียส เก็บตกยิงเข้าประตู ทีมชาติไทยนำ 1-0
เกมส์ยังคงแลกกันต่อเนื่อง
นาทีที่ 45+2 วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ จ่ายทะลุช่องให้ศุภชัย ใจเด็ด หลุดเข้าไปยิงด้วยขวา บอลพุ่งผ่านมือผู้รักษาประตูอย่างเฉียบขาด ทีมชาติไทยนำ 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก
ในส่วนครึ่งเวลาหลังทั้งสองทีมต่างเปิดหน้าแลกกันอีกครั้งแต่ไม่มีผลประตูเพิ่ม จบเกมส์ทีมชาติไทยเอาชนะไป 2-0 ประตู โดยการยิงจากสองนักเตะเลือดมลายู
“สกอร์ในวันนั้นผมดีใจมาก ถึงแม้ว่าจะมีโชคเข้ามาเกี่ยวด้วย มันมีความหมายต่อเรามาก พวกเราชนะ และเราได้แชมป์ซูซูกิคัพมาครองด้วย”
ยิ่งใหญ่ ยิ่งต้องเล็ก
แม้เอเลียสจะเป็นนักเตะที่มีแพชชั่นสูงมากในเกมส์ คาแรคเตอร์ของเขาดูกระหายชัยชนะตลอดเวลา ออกจะดูแข็งกร้าวด้วยซ้ำไป ทว่าชีวิตนอกสนามของชายคนนี้กลับดูเรียบง่าย ขี้อาย และพร้อมให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ นิสัยใจคอและการยิ้มง่ายเป็นมิตรของเขา ทำให้เขามีแฟนบอลชื่นชอบและหลงใหลในตัวเขาอย่างมากมาย
แต่กว่าจะเติบโตมาเป็นเอเลียสคนนี้ ก็ย่อมมีเบื้องหลังที่คอยพลักดันเขาอย่างดีมาโดยตลอด นั่นก็คือ คุณแม่ ชาร์ล็อตต์ ดอเลาะ มารดาอันเป็นที่รักของเขานั่นเอง ด้วยความที่เอเลียส รูปร่างสูงใหญ่ กว่าชาวเอเชียทั่วๆไป เมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย อาจดูน่ากลัวสำหรับใครหลายๆคน แต่สิ่งที่เขาถูกสอนมาโดยตลอดผ่านประโยคคำสอนของแม่ที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขาก็คือ
“เมื่อตัวคุณใหญ่ คุณจะแข็งแรงกว่า จงเป็นมิตร นอบน้อม และให้เกียรติทุกคน” เขายึดถือตามคำสอนของคุณแม่มาโดยตลอด และปฏิบัติมันได้อย่างดี จนใครที่ได้เจอ พูดคุย กระทั่งแฟนๆที่รอต้อนรับเขาขอบสนามทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ถึงความมีทารยาท นอบน้อม และเป็นมิตรกับทุกคนจริงๆ
การรับมือในวันที่เต็มไปด้วยคำวิจารณ์
การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ติดทีมชาตินั้นมักต้องเจอสภาวะกดดันเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะในวันที่คุณเล่นไม่ออก แน่นอนว่านี่คือโลกแห่งฟุตบอล นักฟุตบอลจะมีแค่สองทางเสมอ เล่นดี-เล่นไม่ดี นักฟุตบอลจะต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับคำวิจารณ์ที่พร้อมจะถาโถมให้จิตตก
“ผมไม่อ่านคอมเมนท์หรอก ผมไม่สนใจ ผมแค่ต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับเกมส์ต่อไป ถ้าคุณมัวสนใจเรื่องพวกนี้ คุณจะไม่มีสมาธิ คอมเมนท์เป็นเรื่องของแฟนบอล หมายความว่าพวกเขาสนใจฟุตบอล ผมชอบนะ เราจำเป็นต้องมีแฟนบอลคอยเชียร์เรา ไม่งั้นเราจะเล่นเพื่ออะไร แต่เราเป็นนักฟุตบอล เราต้องมีความมั่นใจในทุกครั้งที่ลงสนาม การอ่านคอมเมนท์คงไม่ดีแน่”
แด่..พ่อแม่ ผู้เป็นโลกทั้งใบ
“สำหรับแม่ แม่เป็นคนที่สอนผมให้เป็นมนุษย์ ให้รู้จักรัก รู้จักเคารพผู้อื่น สำหรับคุณพ่อ ตั้งแต่ผมยังเด็ก เขาขับรถไปรับส่งผมตลอด ไปดูผมซ้อม ไปดูผมแข่งทุกนัด บางทีก็ไปกันหลายครอบครัวเพื่อไปเชียร์ลูกๆ คุณพ่อทำงานหนัก เพราะแม่ผมป่วยยาวนานถึง 30 ปี คุณพ่อคอยซัพพอร์ทพวกเราทั้งสาม คุณพ่อเหนื่อยมาก ถ้าไม่มีคุณพ่อซัพพอร์ตก็คงไม่มีโอกาสมาถึงจุดนี้”