พอช. : ‘กอบศักดิ์ ภูตระกูล’ ประธานบอร์ด พอช. หนุนโครงการส่งเสริมชุมชนเข้มแข็ง สร้างเศรษฐกิจชุมชน โดยส่งเสริมการปลูกไม้มีค่า ต้นละ 2-3 หมื่นบาท ไร่ละ 2 ล้านบาท หากชุมชนปลูก 1 พันไร่จะมีมูลค่า 2 พันล้านบาท พร้อมร่วมมือกับกรมป่าไม้ส่งเสริมป่าชุมชน ตั้งเป้าปี 2570 สร้างป่าชุมชน 15,000 แห่งทั่วประเทศ เนื้อที่รวม 10 ล้านไร่ เพื่อเป็นแหล่งอาหาร สร้างระบบนิเวศน์ ดิน น้ำ ป่า เผยปัจจุบันมีป่าชุมชนแล้วกว่า 12,000 แห่ง ชาวบ้านได้ประโยชน์เกือบ 4 ล้านครัวเรือน มูลค่าการใช้ประโยชน์กว่า 4,900 ล้านบาท
วันนี้ (23 พฤศจิกายน) ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีการประชุมคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ครั้งที่ 17/2565 โดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันฯ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยคณะกรรมการ นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันฯ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมประมาณ 40 คน โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง
ประธานบอร์ด พอช.หนุนปลูกไม้มีค่า-ป่าชุมชน-ฝายมีชีวิต
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันฯ กล่าวว่า ในการประชุมในช่วงแรกๆ มีโครงการที่ได้หารือกับ ผอ.พอช. และเตรียมโครงการไว้ คือจะมีการขับเคลื่อนโครงการเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง โครงการ “การออมต้นไม้” และ “โครงการป่าชุมชน” เป็นพื้นที่ป่าที่ชาวบ้านบริหารจัดการและไม่ผิดกฎหมาย หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือกรมป่าไม้ได้เล็งเห็นความสำคัญ เพราะเจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอในการดูแล และทำให้เห็นถึงพื้นที่ป่าไม้ลดน้อยลง
แต่มีข้อสังเกต คือพื้นที่ที่ชาวบ้านร่วมกันดูแลมีพื้นที่สีเขียว จึงเกิด พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ อยากให้มีพื้นที่ป่าชุมชน 20,000 แห่งทั่วประเทศไทย ตนจึงอยากให้ พอช. ตั้งทีมและกระจายข้อมูลข่าวสารให้กับชุมชน และชุมชนใดที่มีความพร้อมก็จะมาร่วมกับกรมป่าไม้ และร่วมกับเอกชนที่มีความพร้อมในการลงทุนกับชาวบ้าน ป่าชุมชนเป็นพื้นที่อาหาร เป็นซุปเปอร์มาเก็ตของชุมชน และมีโครงการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น “ฝายมีชีวิต” ที่สามารถดำเนินการในพื้นที่อุทยานและพื้นที่ป่าได้ หากทำ 2 โครงการนี้ได้ ป่าไม้ประเทศไทยก็จะอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็จะอยู่ดีมีสุข
“พอช.มีงบประมาณจำกัด แต่สามารถเอาโครงการของภาครัฐมาให้ชุมชน จะสามารถนำงบประมาณมาส่งเสริมพี่น้องชุมชนได้ มีการแบ่งกลุ่มป่าชุมชน ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ เช่น 10,000 – 20,000 ไร่ จะเป็นพื้นที่เชิงภูมินิเวศน์ครอบคลุม 3 ตำบล เป็นต้น งานของ พอช. เป็นงานเปลี่ยนประเทศไทย สิ่งที่มาร่วมหารือครั้งนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่จะร่วมขับเคลื่อนในการทำป่าชุมชนทั่วไทย ขณะเดียวกันจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ 2 คณะ คือ คณะทำงานป่าชุมชน และคณะทำงานฝายมีชีวิต โดยจะมีภาคเอกชนมาร่วมกัน และขับเคลื่อนเรื่องคาร์บอนเครดิตอย่างเหมาะสม รวมถึงการสนับสนุนชุมชน โดยการลดหย่อนด้านภาษี” นายกอบศักดิ์กล่าว
ประธานบอร์ด พอช. ยกตัวอย่างว่า พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกต้นไม้ดีๆ ได้ประมาณ 200 ต้น ได้ต้นละ 2-3 หมื่นบาท จะได้มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท หากทำ 1 ชุมชน จำนวน 1,000 ไร่ จะสร้างมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปใน 3 ปีด้วยมือเรา และในอนาคตอาจจะมีการต่อยอดในพื้นที่ป่าชายเลนที่สามารถจัดทำแผนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างพื้นที่สีเขียวได้
ส่วนการสร้างฝายมีชีวิตนั้น นายกอบศักดิ์ได้ให้ความสำคัญตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในปี 2561 โดยสนับสนุนโครงการ ‘ประชารัฐร่วมใจสร้างฝายมีชีวิต’ เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ สร้างความชุ่มชื้นให้ผืนดิน ตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องการพัฒนาและฟื้นฟูป่าไม้ โดยใช้ “ฝายกั้นน้ำ”
หรือ “ฝายชะลอน้ำ” เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยสร้างความชุ่มชื้น เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่แผ่นดิน โดยจะให้ พอช. ชุมชน ภาคีเครือข่าย รวมทั้งภาคเอกชนมาร่วมกันขับเคลื่อนโครงการฝายมีชีวิตต่อไป
กรมป่าไม้ตั้งเป้าปี 2570 สร้างป่าชุมชน 15,000 แห่งทั่วประเทศ
นางนันทนา บุญยานันต์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ ซึ่งเข้าร่วมประชุมบอร์ด พอช. กล่าวว่า การผลักดันกฎหมายหลายๆ ฉบับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 เป็นกฎหมายที่พี่น้องชุมชนรอคอยกว่า 20 กว่าปี และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้วันที่ 24 พฤษภาคมของทุกปีเป็น ‘วันป่าชุมชนแห่งชาติ’ เพราะเป็นวันที่ในหลวง รัชกาลที่ 10 ทรงลงพระปรมาภิไธย และการดำเนินงานการส่งเสริมป่าชุมชนได้น้อมนำพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 นำมาใช้ คือ อยากเห็นป่าไม้หมู่บ้าน อยากเห็นชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่มาดูแลปกป้องและฟื้นฟูผืนป่า พ.ร.บ.ป่าชุมชน สอดคล้องกับความต้องการของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ให้ความหมายว่า “ป่าชุมชน คือ ป่านอกเขตป่าอนุรักษ์หรือพื้นที่อื่นของรัฐ นอกเขตป่าอนุรักษ์ ที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเป็นป่าชุมชน โดยชุมชนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษา ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืนตามพระราชบัญญัตินี้”
ผอ.สำนักจัดการป่าชุมชนกล่าวว่า ชุมชนจะต้องมีแผนการจัดการป่าชุมชน และเสนอผ่านคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด กลไกในพื้นที่จะรับรองแผน ซึ่ง อปท. และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่สามารถที่จะสนับสนุนชุมชนตามแผนนั้นได้ รวมถึงแผนภูมินิเวศน์ที่มีการเสนอเป็นแผนอนุรักษ์ ฟื้นฟู ควบคุม พัฒนา และแผนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชน
ขณะที่ชุมชนสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนตามกฎหมายได้ในบริเวณเพื่อการใช้ประโยชน์ เช่น เก็บหาของป่า การใช้ประโยชน์จากไม้เพื่อการดำรงชีพ และการใช้สอยและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ภายในชุมชน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอื่น เช่น น้ำ ส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้และสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชน การใช้ประโยชน์จากไม้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากภัยพิบัติหรือเหตุจำเป็น ฯลฯ
ส่วนการจัดตั้งป่าชุมชนตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ปัจจุบันกรมป่าไม้ได้ส่งเสริมการจัดตั้งป่าชุมชนทั่วประเทศแล้วจำนวน 12,117 แห่ง ชุมชนมีส่วนร่วม 13,855 หมู่บ้าน เนื้อที่รวม 6.64 ล้านไร่
จากการประเมินของกรมป่าไม้ มีประชาชนได้รับประโยชน์จากป่า 3,948,675 ครัวเรือน เกิดมูลค่าการพึ่งพิงป่าชุมชน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ จำนวน 4,907 ล้านบาท การกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ในป่าชุมชนเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน รวม 42 ล้านตันคาร์บอน การกักเก็บน้ำในดินและการปล่อยน้ำท่า 4.562 ล้านลูกบาศก์เมตร และการประเมินมูลค่าของระบบนิเวศน์ของป่า 595,857 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายภายในปี 2570 กรมป่าไม้ตั้งเป้าสนับสนุนการจัดตั้งป่าชุมชนเพิ่มเป็น 15,000 แห่งทั่วประเทศ ชุมชนมีส่วนร่วม 18,000 หมู่บ้าน เนื้อที่รวม 10 ล้านไร่
ผอ.สำนักจัดการป่าชุมชนกล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากจะให้เกิดขึ้นคือ การพัฒนาต่อยอดสร้างรายได้ การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์โดยชุมชน ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยวและให้บริการ ซึ่งรูปแบบการดำเนินการต้องดำเนินการในรูปแบบกลุ่ม/วิสาหกิจชุมชน และการใช้ไม้ต้องไม่ใช่การใช้ไม้หวงห้ามในพื้นที่ป่าสงวน เพื่อนำมาใช้ในการขายไม้ท่อน การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชุมชนจากฐานราก (BCG)
“แต่ปัญหาอุปสรรคการจัดทำแผนจัดการป่าชุมชน คือ ชุมชนจะต้องได้รับการส่งเสริมและได้รับความรู้เพื่อจัดทำแผน โดย พอช. เป็นภาคีสำคัญในการส่งเสริมกลไกในพื้นที่ให้เกิดกระบวนการสร้างความเข้าใจและการจัดทำแผน” ผอ.ผอ.สำนักจัดการป่าชุมชนกล่าวในตอนท้าย
************
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)