26 มิ.ย. 2559 เนื่องในวันสนับสนุนผู้เสียหายจากการทรมานสากล 26 มิถุนายน ขององค์การสหประชาชาติ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกแถลงการณ์และคำชี้แจงเรื่องรายงานสถานการณ์การทรมานในจังหวัดชายแดนใต้ ดังนี้
แถลงการณ์มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ตามที่เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้เปิดเผย “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557-2558” โดยได้มีการจัดการเสวนาสาธารณะ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจรายงานข่าว รวมทั้งนำเสนอรายละเอียดเป็นจำนวนมาก และต่อมาได้มีแถลงการณ์ของกองกำลังรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เผยแพร่ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 และได้มีการจัดแถลงข่าวเผยแพร่ตามสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี (พ.ต.ท.วิญญู เทียมราช ) ได้มีหมายเรียกผู้ต้องหาคดีอาญา ระหว่าง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้กล่าวหา กับ นายสมชาย หอมลออ กับพวก ผู้ต้องหา โดยเรียกให้ นายสมชาย หอมลออ นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และนางสาวอัญชนา หีมมิหม๊ะ รวม 3 คนให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 26 มิถุนายน 2559 โดยตามหมายเรียกได้กล่าวหาว่า ผู้ต้องหาทั้งสามคนได้ “ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กล่าวคือ ผู้เสียหายตรวจพบว่า มีการนำเอาเอกสาร รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนใต้ ปี พ.ศ.2557-2558 ซึ่งเป็นความเท็จ ไปเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในเว็บไซต์ http://voicefromthais.wordpress.com และจัดพิมพ์แจกจ่ายให้คนทั่วไปทราบ” ดังนั้น การกำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายน เป็นวันสนับสนุนผู้เสียหายจากการทรมาน นอกจากเป็นการรณรงค์เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนร่วมกันยุติการทรมานฯ ให้หมดสิ้นไปแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการช่วยเหลือผู้เสียหายให้รอดพ้นจากการทรมานและฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขาคืนมาด้วย มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอสนับสนุนรัฐบาล ในการกำหนดนโยบายในการต่อต้านและป้องกันการทรมานฯ เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ค.ศ.1984 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีโดยมีผลบังคับต่อประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 และที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 เห็นชอบใน ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. … ซึ่งจะเป็นการกำหนดให้เกิดมาตรการทางกฎหมายอาญาที่เหมาะสมในการลงโทษผู้กระทำผิด และมาตรการป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งตำรวจและทหารก็ได้จัดให้มีการอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงในจังหวัดชายแดนใต้ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้ตระหนักรู้และสร้างความเข้าใจสิทธิมนุษยชน รวมทั้งความพยายามทั้งปวงในการระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามจากการติดตามสถานการณ์และการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ของผู้เสียหายจากการทรมาน มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและองค์กรเครือข่าย พบว่าในทางปฏิบัติ ยังคงมีปัญหาและการร้องเรียนเรื่องการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีอยู่เป็นจำนวนมาก จนนำมาซึ่งการนำเสนอรายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557-2558 ต่อหน่วยงานของรัฐ องค์กรที่เกี่ยวข้องและสาธารณะชน นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า “การต่อต้านการทรมานเป็นหลักกฎหมายสากลและเป็นหลักการทางสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเห็นด้วยและเข้าเป็นรัฐภาคี หน่วยงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนบทบาทนักสิทธิมนุษยชนในการต่อต้านการทรมาน ประเทศไทยควรเร่งรัดในการออก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งผ่านการเห็นชอบคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ออกเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็ว และกำชับหน่วยงานทั้งเจ้าหน้าที่ในกำกับให้เอาจริงเอาจังในการต่อต้านการทรมาน” “หากมีการนำคดีที่กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิและเครือข่ายในข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล มูลนิธิผสานวัฒนธรรมก็จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาทั้งสาม และยืนยันความตั้งใจในการทำงานในการปกป้องสิทธิมนุษยชนและเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป” นายสุรพงษ์ กองจันทึก กล่าวเสริม
|
คำชี้แจงเบื้องต้น มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอชี้แจงเบื้องต้นว่าการเผยแพร่รายงานจัดทำเป็นภาษาไทยและอังกฤษ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายความมั่นคง หากมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเข้าใจปัญหาการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ในจังหวัดชายแดนใต้ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และต้องการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาดังกล่าวในทันที เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียหายต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้ โดยในการจัดทำรายงานดังกล่าว มูลนิธิและองค์กรเครือข่าย ได้ดำเนินการดังนี้ 8. นอกจากนี้แม้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยทำข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น 8.1 เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา ครม.ได้รับทราบรายงานของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกสม.ได้รับการร้องเรียนที่ขอให้ตรวจสอบกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซ้อมทรมาน ปฏิบัติหรือใช้วิธีการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรม ซึ่งกสม.เคยพิจารณาคำร้องจากประชาชนในพื้นที่จำนวน 33 คำร้อง โดยกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่กระทำทรมาน ปฏิบัติหรือใช้วิธีลงโทษอย่างโหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ต่อผู้ที่อยู่ในระหว่างควบคุมตัวเพื่อมุ่งประสงค์ทีจะให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือคำรับสารภาพจากบุคคลนั้น 8.2 กสม. ได้เสนอมาตรการการแก้ไขปัญหาต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยในด้านกลไกการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เช่น 1) รัฐต้องสร้างระบบและว่างมาตรการในการป้องกันการทรมานทุกขั้นตอน 2) มีการทำทะเบียนการตรวจบันทึกการตรวจร่างกายโดยแพทย์ 3) สร้างระบบให้โปร่งใสและตรวจสอบซึ่งกันและกันได้ 4) รวมทั้งกำหนดหน่วยงานที่คุมขังให้แยกต่างหากจากหน่วยงานที่ทำการจับกุม สอบสวนหรือซักถามต้องเป็นคนละหน่วยงาน และต้องกำหนดระยะเวลาการควบคุมตัวของแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน 5) นอกจากนี้กสม.ยังเสนอให้จัดให้มีคณะทำงานอิสระให้ทำหน้าที่ในการตรวจเยี่ยมสถานที่และผู้ถูกควบคุมตัวเป็นประจำ 6) ต้องปรับปรุงกระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัยของเจ้าหน้าที่ทั้งในเชิงด้านการข่าว การแสวงหาข้อมูล หรือการปรับทัศนคติโดยจะต้องกระทำโดยไม่สร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมและไม่ใช้วิธีการที่รุนแรง 7) ต้องดูแลผู้ต้องสงสัยในระหว่างการควบคุมของเจ้าหน้าที่เมื่อมีการเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาซักถามและการควบคุมตัว โดยกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อให้การซักถามผู้ต้องสงสัยเป็นไปตามหลักการสืบสวน สอบสวนให้สอดคล้องกับหลักสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และ 8) เมื่อผู้ต้องสงสัยตามหมายเรียกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งทางราชการแจ้งว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องลบชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากระบบฐานข้อมูลทางระเบียนว่าเป็นบุคคลถูกออกหมายเรียกที่ยังปรากฏอยู่ตามด่านตรวจต่าง ๆ ในพื้นที่ฯ 8.3 ส่วนข้อเสนอด้านกระบวนการยุติธรรม กสม.ระบุว่า เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนต้องดำเนินการสอบสวนข้อร้องเรียนโดยพลัน โดยเที่ยงธรรมและโปร่งใส และต้องกำหนดมาตรการในการคุ้มครองพยานปกป้องเหยื่อหรือญาติที่ร้องเรียนให้พ้นจากการถูกข่มขู่โดยเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งควรมีการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ถูกจับ กัก หรือควบคุมตัวที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาและมาตรฐานระหว่างประเทศ และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เสนอต่อสำนักงานศาลยุติธรรมให้นำตัวผู้ต้องสงสัยตามหมายแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯมารายงานตัวต่อศาลทุกครั้งที่มีการขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัว ในเรื่องดังกล่าว แม้คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติรับทราบแล้วและยังได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงขอมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน. รับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการแล้วแจ้งต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ทราบต่อไปทั้งนี้ในทางปฏิบัติกลับไม่มีความคืบหน้าในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ กสม. และมติ ครม. อย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด |