“ถ้าแกผอม เรายอมเป็นแฟนแกเลย”
ประโยคจากหญิงสาวผมยาวสีดำ ผู้เป็นเพื่อน (ไม่) สนิท เธอพูดกับเราในตอนที่อยู่บนรถเมล์ที่แทบไม่มีผู้โดยสาร เหลือเพียงเราและหญิงสาวผมดำ
เธอพูดกับเราในตอนที่เรายังมีรูปร่างอ้วนท้วนอยู่ ในตอนนั้นความรู้สึกของเราไม่ได้ชอบเธอเลย แต่ทำไมก็ไม่รู้ทำให้เราอยากลดความอ้วน
หลังจากเหตุการณ์นั้น เราก็ยังพยายามลดความอ้วนอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จสักที จนกระทั่งการมาถึงของเวลาหยุดยาวที่เด็กหลายคนฝันมาทั้งปี เรากลายไปเป็นเด็กติดเกมไปโดยปริยาย แต่ช่วงนั้นเองเกมมีแรงดึงดูดมากกว่าอาหารที่เราเคยโปรดปราน คนภายนอกมองมาที่เราก็คงพูดด้วยประโยคว่า
“วัน ๆ ไม่ทำอะไรหรอก มัวแต่เล่นเกม”
รวมถึงแม่เราด้วยที่พูดแบบนั้น แต่ช่วงนั้นเราก็เริ่มหันมาลดความอ้วนแล้ว เนื่องจากปิดเทอมพอดี แล้วอยากเปิดเทอมพร้อมกับหุ่นที่เราใฝ่ฝันไว้ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมาก อาจจะออกกำลังกายเพียงเดือนล่ะครั้ง แล้วกินข้าวไรซ์เบอร์รี่หนึ่งหม้อใหญ่ เพราะคิดว่ากินข้าวไรซ์เบอร์รี่มากแค่ไหน ก็จะไม่อ้วนขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เราน้ำหนักขึ้นเช่นกัน เราก็เลยคิดที่จะลดความอ้วนด้วยการอดอาหารแล้วเอาเวลาไปปั่นเลเวลในเกมแทน
ความคิดตอนนั้นชื่นชมตัวเองมาก เหมือนยิงนกสองตัวในปืนนัดเดียว ซึ่งเราก็ทำได้จริง จนเมื่อมองไปในกระจกเห็นรูปร่างที่เล็กลดลงแม้จะนิดเดียว ใส่กางเกงก็หลวมเหมือนจะหลุดอยู่ตลอด มันทำให้เราคิดว่าผอมลงแล้วหรือนี่
เราเลยปลุกไฟแห่งความร้อนรุ่ม เพื่อที่จะได้ผอมเสียที เราพยายามทั้งวิธีที่เหมือนจะถูกแต่ก็ไม่เลย บางครั้งความคิดแบบผิด ๆ ก็ทำให้การลดความอ้วนของเราไม่ใช่เพื่อสุขภาพ แต่เพื่อสายตาของคนอื่นมากกว่า แต่สิ่งที่เราพบเจอ คือ อาหารคลีนนั้นราคาแพงมาก เสียจนเราต้องกลั้นใจทำอาหารกินเอง ถึงแม้มันจะไหม้บาง ไม่สุก เค็มไป จืดไป จนเปิดเทอมมาหลายคนเมื่อเห็นเรา ก็พูดกันด้วยประโยคที่เหมือนถอดแบบกันมาเลยว่า
“ไปทำอะไรมา ทำไมผอมลงเยอะ”
ในตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตอบอะไรมาก เพราะยังคิดว่าตัวเองยังผอมไม่พอ หลังจากนั้นเราก็ผอมลงเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเรายังคิดอยู่เสมอว่า เรายังไม่ผอมเลย จนถึงกระทั่งปัจจุบันที่เราผอมลงมาก ๆ เมื่อย้อนไปดูภาพตัวเอง แล้วก็นึกขำว่าทำได้ยังไง และลองเปรียบเทียบมุมมองจากผู้คนที่มองเรามาทั้งตอนที่เราผอมและตอนที่เราอ้วน เราก็ยังไม่ได้เป็นที่สนใจของสังคมอยู่ดี ไม่รู้ทำไม แต่นั่นทำให้เราก็นึกสงสัยว่า เหตุใดรูปร่างถึงไม่ดึงความสนใจจากสังคม หรือว่าจริง ๆแล้วสังคมมีมาตรฐานที่วางไว้อยู่แล้ว ที่แม้เราจะผอม อ้วน สวย ไม่สวย หรืออะไรก็ตาม เราก็ไม่สามารถไปแตะถึงจะจุดที่สปอตไลต์สาดส่อง หลังจากที่เราจมอยู่กับความฝันการอยู่ในสปอตไลต์
ก็เริ่มนึกถึงเรื่องของเพื่อนที่เคยพูดกับเราในตอนที่ยังอ้วนท้วนอยู่ว่า หากเราผอมจะยอมเป็นแฟนเรา แต่เมื่อความอ้วนท้วนแปรเปลี่ยนเป็นความผอม เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนั้นอยู่เลย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานจนเธอลืมไปแล้ว หรือว่าเธอยังไม่ลืมแค่ไม่อยากแฟนกับเรา
แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าเธอจะอยากเป็นแฟนกับเราหรือไม่ เราก็จะไม่ได้อยากเป็นแฟนกับเธอ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้ชอบเธอ และเรารู้ตัวเองแล้วว่า เรานั้นไม่ใช่ผู้ชายอีกแล้ว และเมื่อเปลือกนอกได้แตกสลายหายไป เราจะโบยบินด้วยความภูมิใจในร่างกาย ที่เราเคยซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในก้นบึ้งของจิตใจ
นั่นทำให้เกิดความรักครั้งแรกของเรา เรื่องมันเกิดในตอนที่เราผอมแล้ว แต่ก็ยังมีความอ้วนหลงเหลืออยู่ ในตอนนั้นเพื่อนของเราได้ปิ๊งรักกับคนในกลุ่มที่เราชอบ เราก็เลยช่วยจีบทั้งชวนกลุ่มนั้นไปเที่ยว ทั้งตามไปที่บ้าน จนเหมือนว่า เรากับเพื่อนเป็นโรคจิตตามคนอื่นไปทั่ว แต่ไม่ต้องสนใจเรื่องความรักของเพื่อนหรอก เพราะสุดท้ายเพื่อนก็ไม่ได้คบกับคนที่ชอบอยู่ดี
ดังนั้นจึงมาสนใจเรื่องของเราดีกว่า เหตุเกิดจากป้ายรถเมล์ตรงข้ามห้างแห่งหนึ่ง ในเวลาเย็นที่ผู้คนคับคั่ง พร้อมกับเสียงร้องของนักบรรเลงบนทางเท้า เราได้เจอกับเขาโดยบังเอิญเหมือนเราเขียนบทขึ้นมาเอง
“เพื่อนไม่มาด้วยเหรอ”
“ใช่…..”
“งั้นไว้เจอกันใหม่”
ตอนนั้นทำให้หัวใจเราพองโต เหมือนจะหลุดออกมาจากอก เราก็เลยเล่าเรื่องนี้กับเพื่อน โดยไม่บอกว่า เขาเป็นใคร แต่ด้วยความที่เพื่อนรู้ทันว่า เราชอบใคร เธอจึงได้ทักไปบอกคนที่เราชอบ จนคุยไปคุยมา เธอก็ค้นพบว่า เขาก็ชอบเราเหมือนกัน เธอจึงได้แคปมาให้ดู เราเขินจนตัวบิด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ในจังหวะที่หัวใจเต้นนั้น เราได้เห็นประโยคที่เพื่อนส่งมา
“เรารู้แหละว่า แกชอบ….”
จังหวะนั้นหัวใจเราหยุดเต้นกับสิ่งที่เพื่อนส่งมา แต่หัวใจเราได้หยุดเต้นอีกครั้ง มันคือรูป……
ในรูปนั้นคือ สิ่งที่บ่งบอกว่า แชทนั้นเป็นแชทปลอมที่เพื่อนสร้างขึ้นมาเอง
เราแทบพูดไม่ออกเลย หัวใจแทบหยุดเต้น แต่เรื่องก็ดำเนินต่อไป เพราะเพื่อนเราบอกจะช่วยจีบ เรื่องราวความรักที่คลับคล้ายคลับคลาว่า จะเป็นโรคจิตเสียมากกว่า เวลาผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกเบ่งบาน แต่เมื่อดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ ก็ต้องมีเวลาร่วงโรยเช่นกัน
เมื่อจีบมาจนมีวันหนึ่งเพื่อนอีกคนที่รู้จักกับคนที่เราชอบ ก็ได้บอกกับเขาไปว่า เราชอบเขา แต่มันก็เป็นอย่างที่เราคิด ดอกไม้ที่เปล่งบานจนเต็มอิ่ม ได้ค่อย ๆ ร่วงโรยจนแทบจะหมดต้น เหลือไว้เพียงความทรงจำ และความรู้สึกสิ้นหวัง
เราได้ถามตัวเองว่า ตกลงแล้วเขาไม่ชอบเรา เพราะอะไร เพราะหุ่นของเราหรือเพศของเรากันแน่ เราฟังแต่คำตอบของตัวเองเพียงเท่านั้น แล้วลดความอ้วนเรื่อย ๆ จนผอมมาก ผอมจนเหมือนเอารูปมาเทียบกันเหมือนคนละคน แต่หลังจากเราได้ฟังแต่คำตอบของตัวเอง เราก็ได้ค้นหาคำตอบที่นอกเหนือจากตัวเอง จนเราได้ค้นพบว่า มันไม่ได้อยู่แค่ที่เราผอม อ้วน มันอยู่ที่ว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงแค่นั้นเอง มันกลายเป็นเหมือนจุดเล็ก ที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจของเราไปทีล่ะน้อย โดยที่เราไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นเราก็มูฟออนเกือบจะได้ แต่ยังหลงเหลือความทรงจำที่กลไกของสมองที่ไม่อาจลบเลือนได้ เราก็ไม่เคยมีความรักอีกเลย บางทีเราก็อยากมั่นใจในตัวเอง แต่ด้วยเพศ รูปร่างที่ทำให้เกิดคำถามว่า ต้องแล้วที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะตัวเรา หรือเราคิดตามสังคมกันแน่
จนเวลาล่วงเลย เหตุการณ์ที่เราจำไม่เลือน ผู้หญิงคนนั้น ผมยาวสีดำ ผู้เป็นเพื่อน(ไม่)สนิท ผู้ที่เคยผู้ประโยคว่า ถ้าแกผอม เราจะยอมเป็นแฟนแกเลย
ในช่วงพักระหว่างสอบ เสียงนักเรียนคุยกันเสียงดังไปหมด เธอได้กุมความลับของเราอยู่ หลังจากนั้นเธอได้คุยกันเราเกี่ยวกับความลับที่เราซ่อนไว้ แต่เรายังไม่ทันพูดอะไร หญิงสาวผมดำก็ได้ตะโกนออกมาว่า
“แอลชอบมิ้นต์”
เสียงทั้งห้องหยุดชะงัก สายตาจับจ้องมาที่เราแล้วพูดเชิงล้อเลียน
“ชอบผู้ชายเหรอ”
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วห้อง และพูดต่อ ๆ กันไปมา
แต่ในจังหวะนั้นเราไม่ได้ยินอะไรแล้ว หัวใจเต้นแรง ตัวแข็งทื่อ พร้อมกับน้ำใส ๆ ที่กลั้นไว้แทบจะไม่อยู่และเสียงรอบข้างที่ดังกลับกลายเป็นเสียงของเราที่สะท้อนในก้นบึ้งของจิตใจ ที่พูดสะท้อนไปมาว่า
“ทำไมเราถึงร้องไห้”
ตัวเราไม่ตอบคำถามกับตัวเอง เพียงแต่นิ่งเฉย มีเสียงสะท้อนในก้นบึ้งของจิตใจที่มืดมิดและแคบเสียจนไม่อาจขยับไปไหนได้ ทำได้เพียงแค่นึกคิดไปเรื่อย ๆ และจมไปในก้นบึ้งของจิตใจเรื่อย ๆ ซ้ำไปซ้ำมา เป็นภาพซ้อนกันอยู่อย่างนั้นจนถึงอนาคต ในวันที่เราได้ปลิดทิ้งความปลอมเปลือกที่สร้างขึ้น โบยบินสู่โลกที่เราอยากจะเป็น ถึงแม้ในวันนี้เราจะยังจมอยู่กับความวุ่นวายของความรู้สึกที่ถูกกัดกินจนมองไม่เป็นรูปในกรอบของความธรรมดาที่สังคมนั้นมักพูดว่า ปกติไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ผู้ถูกกระทำนั้นเกินกว่าจะอธิบายความรู้สึกมาเป็นคำพูดได้