เล่าสู่กันฟัง : เรื่อง(ไม่)เก่าริมสาละวิน

เล่าสู่กันฟัง : เรื่อง(ไม่)เก่าริมสาละวิน

 “ตอนนั้นทำไงอ่ะ”

 “ก็วิ่งสิ วิ่งจนรู้สึกอยากให้ขายาวกว่าที่เป็นอยู่ จะได้วิ่งเร็ว ๆ แต่ความจริงอยากบินหนีเลย มันน่ากลัวมาก…”

เด็กวัยสิบต้น ผมยาวประบ่าตอบคำถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและอยากเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เจอมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

เธอเป็นเด็กหญิงแต่ท่าทางวาจาไปทางเด็กชาย ใส่เสื้อคอปกสีขาวคู่กระโปรงยาวสีเขียวปลายด้านหลังลากผิวทรายละเอียด เธอเดิมนำผมตรงไปยังแม่น้ำสีขุ่นที่ผู้คนสถาปนาให้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนไทยเมียนมา

ตอนนั้นกำลังจะมืด อยู่ ๆ ก็ตูมมม! พวกหนูก็พากันวิ่งเข้าป่า  รองเท้าก็เก็บไปทัน  สักพักก็กลับไปเก็บกระเป๋าที่บ้านป้าแล้วรีบออกจากที่นั่น เดินขึ้นเขาเพื่อมาที่นี่”

“ที่นี่” ของเธอหมายถึงพิกัดปัจจุบันที่เรากำลังคุยกัน เขตไทยแดนปลายทางที่ผุดขึ้นในความคิดของเธอและเพื่อนในยามได้ยินเสียงตะโกน “จิเปอยอ” ข้อความภาษากะเหรี่ยงที่บอกทหารพม่าบุกมาแล้ว   

ส่วน“ที่นั่น” ที่จากมาคือบ้านเดะปูโหนะ หนึ่งในชุมชนของหมื่อตรอ ชื่อจังหวัดที่ดูแลโดยทหารกองพลน้อยที่ห้าของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งผมชอบเรียก “เขตห้า” มากกว่า สั้นและเท่ดี และที่สำคัญเวลาได้เหยียบในพื้นที่ความรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้ฉากในหนังฮังเกอร์เกม ที่มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเขตเหมือนกับที่นั่นด้วย

ในฮังเกอร์เกมกับกับที่นั่น เต็มไปด้วยเสียงแห่งความตื่นเต้นและอันตราย ชีวิตและลมหายใจเต็มไปด้วยการผจญภัย  แต่ก็ต่างกันตรงฮังเกอร์เกมเป็นเพียงภาพยนตร์สร้างจากนิยาย แต่ที่นั่น “หมื่อตรอ” คือพื้นที่ที่มีอยู่จริง คนที่นั่นเป็นคนจริง ๆ มีชีวิตความรู้สึก มีความฝัน แต่โชคชะตาไม่ใจดีทำให้ต้องวิ่งหนีออกจากบ้านตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่ามานานกว่าเจ็ดทศวรรษนับแต่วันที่แผ่นดินกลายเป็นสนามรบ ทำหน้าที่ไม่มากไปกว่าการกลบใบหน้าร่างไร้วิญญาณคืนกลับเป็นธุลี

“ความจริงบ้านหนูอยู่อีกหมู่บ้าน แต่วันนั้นหนูอยู่ที่นั่นเพราะไปอยู่บ้านป้าเพื่อเรียนหนังสือ อยากมีความรู้โตขึ้นจะได้เป็นครู”

“หุบเขาที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง” คือความหมายคำว่า “หมื่อตรอ” พื้นที่แรกที่รับของขวัญวันกองทัพพม่ายี่สิบเจ็ดมีนาเป็นลูกระเบิดที่พรากสองชีวิตไปในทันที

คือจุดเกิดเหตุระทึกขวัญของเด็กหญิงที่พยายามเล่าให้ฟังขณะเฝ้าผมอาบน้ำ 

เวลาโพล้เพล้ฟ้าเหนือน้ำสาละวินเป็นสีส้มแดงดูอันตราย แต่โลกของเธอและเพื่อน ๆ ก็ยังสดใส เวลาคับขันที่วิ่งหนีความตาย พวกเธอยังเก็บเศษความขบขันมาสร้างเสียงหัวเราะได้ 

          “จะค่ำแล้วนะ เดี๋ยวต้องปิดไฟทั้งหมดแล้ว”

          เด็กน้อยเตือนผมให้รีบขึ้นจากน้ำ เพื่อเผื่อเวลาหามุมซุกหัวกลางคืนก่อนมืดมองไม่เห็น

ที่นี่เป็นจุดที่ผู้ลี้ภัยกว่าพันคนหลบอาศัยอยู่ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ คนท้อง คนป่วย บลา ๆ ความกลัวหวาดผวากับเหตุการณ์กองทัพเผด็จการทหารพม่าใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดในชุมชนติดต่อกันหลายวันนำพาให้ทุกคนเดินทางมาที่นี่ เพื่อรักษาชีวิตดำเนินต่อไป  มีหลายสิบลมหายใจดับหายไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็มีบางชีวิตใหม่ลืมตามองโลกท่ามกลางเหตุการณ์ระส่ำระสาย ผมไม่รู้จะยินดีที่เธอเกิดมาหรือจะเศร้าใจที่รู้ว่าไม่นานชะตาจะเจอกับอะไร         

ผู้คนที่นี่บอกว่านอกจากระแวงทหารพม่าจะมาโยนระเบิดใส่แล้ว ก็ต้องระวังทหารไทยจะหันกระบอกปืนใส่ด้วย เพราะความรู้สึกมันบอกไม่มีใครต้องการเรา  ไม่รู้ทำไมโลกนี้ถึงใจร้ายกับเราเสมอเลย

นี่คงเป็นที่มากฎเหล็กของที่นี่ ยามค่ำคืนต้องเงียบให้มากที่สุดและทำให้เกิดแสงสว่างให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ตกเป็นเป้าของคนใจร้ายประสงค์ไม่ดี

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีวันหยุดเถลไถลตามใจอยาก จึงใช้ช่วงสงกรานต์ที่รอมานานติดตามคนรู้จักมาที่นี่ หลังเฝ้ามองเหตุการณ์โหดร้ายที่ว่ามาพักหนึ่งผ่านข่าวสารและคนรู้จักตามชุมชนชายแดนบ้านเกิด

ที่นี่แม้มีเสียงพูดคุยหัวเราะและใบหน้ายิ้มแย้มส่งให้เราบ้างตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาถึง แต่ความรู้สึกก็ฟ้องว่าลึกลงไปในแววตาและหัวใจข้างในเหล่านั้นไร้ความสุขสดใส เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ไม่ได้ไปไร่นา คนป่วยไม่ได้ไปหาหมอ ความฝันไม่ได้ออกเดินทาง รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงภาวนาให้ทุกอย่างสงบคืนกลับเหมือนวันฟ้าสดใส

คำอธิษฐานที่ได้ยินไม่พ้นการวอนขอให้ได้กลับในที่จากมา “บ้านของตัวเอง” ที่ที่ชีวิตมีศักดิ์ศรีและความหมาย ไม่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายรอคอยความช่วยเหลือให้ตัวเองดูน่าเวทนา เว้นแต่เด็กน้อยที่ไม่ว่าอย่างไรโลกก็สดใส ทุกอย่างตื่นเต้นสนุกเสมอ ใครถือปืนเดินเข้ามาตรวจเช็คก็ดูเท่มากกว่าน่ากลัวในตอนแรก แต่ภายหลังก็เริ่มแย่เมื่อรู้สึกความเป็นคนจางหาย

หมุดหมายการเดินทางครั้งนี้ ผมกับเพื่อนร่วมทางคนที่มีโอกาสมากกว่าผู้ลี้ภัย เราปรารถนาสัมผัสพื้นที่จริงเพื่อตามหาความต้องการจำเป็นนอกจากข้าวสารอาหารแห้งที่พอมีความช่วยเหลือมาถึงแล้วบ้าง ยังมีสิ่งใดที่ชีวิตซึ่งตกเป็นเหยื่อความรุนแรงกลุ่มนี้ควรได้รับเร่งด่วน และในพื้นที่กลางป่าติดแม่น้ำสีขุ่นที่มีมากกว่าพันชีวิตอยู่รวมกันนั้นเราได้คำตอบร่วมกันว่าควรมีน้ำดื่มสะอาดกับห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะเพื่อบรรเทาที่นี่ไม่ให้เกิดโรคซ้ำเติมหนักกว่าเก่า   สองสิ่งนี้น่าจะพอช่วยชีวิตลี้ภัยมีวันที่แย่น้อยลงได้บ้าง

หลังออกจากพื้นที่ เกิดวงประชุมขนาดเล็กแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเตรียมส่งความช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากที่พบเจอ น้ำดื่มสะอาดกับสุขาที่ตั้งใจส่งไปเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่การแก้ปัญหาต้นตอซึ่งคนธรรมดาอย่างผมทำอะไรไม่ได้เลย  แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็ไม่อาจอยู่เฉยในยามรู้เต็มอกว่ามีคนด้วยกันกำลังถูกกระทำลดทอนลายศักดิ์ศรีความเป็นคนให้หล่นหายอย่างไร้ความเป็นธรรม

ชีวิตของผมช่วงนี้ดำดิ่งเคว้งกับเรื่องราวที่ได้เจอและได้ฟัง แทบไม่อยากเชื่อว่าความจริงโลกเราไม่ได้แค่เทา แต่มันใกล้จะดำมืดเต็มทีแล้ว ผมพยายามทำหลายสิ่งเพื่อเป็นใบไม้ใบเล็กสังเคราะห์แสงลดคาร์บอนในอากาศหวังเยียวยาให้โลกกลับมาสดใสได้บ้าง แต่แล้ว…

“เธอ ทหารไทยเราผลักดันชาวบ้านกลับไปหมดแล้วนะ” ข้อความจากเพื่อนส่งมาหลังเราออกจากพื้นที่ได้เพียงสองวัน ก่อนที่ความช่วยเหลือเราจะไปถึง

แต่แล้วโลกก็ยังใจร้ายกับคนกลุ่มหนึ่งไม่ยอมเปลี่ยน อำนาจยังเป็นของหวานให้คนอยู่สูงเล่นเกมกับชีวิตคนเล็กคนน้อย คนทำดีไม่ได้ดี คนทำเลวไม่ได้เลว ทุกอย่างเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังไม่มีใครเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้

เหตุการณ์เกิดขึ้นและเงียบไปโดยไม่มีฉากจบ น้ำสาละวินยังรินไหลและเรื่องราวยังเดินต่อ คงไม่พ้นจะกลับมาฉายซ้ำอีกครั้งในอีกไม่นาน หากเป็นเช่นนั้นจริงผมและคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเราจะทำอะไรได้บ้าง?

……………………………………………………….

ปล. ผมไม่ได้ถามชื่อเด็กหญิง แอบเสียดายที่ไม่ใส่ใจรายละเอียด แต่แน่นอนว่าไม่อยากเจอเธอในเหตุการณ์เดิมอีก ผมได้แต่ภาวนาให้เธอเติบโตมีชีวิตที่สดใสเหมือนเด็กทั่วไปคนหนึ่ง

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ