‘หัวอกคนเป็นแม่ร่ำไห้” เมื่อเห็นลูกสาววัย 21 ที่กำลังตั้งครรภ์ลูกน้อยอ่อนๆได้ราว 4 เดือนเศษๆ เดินผ่านหน้าทั้งน้ำตาเพื่อขึ้นรถไปเรือนจำ
น.ส.ยูเรี้ย จำนง นายชูอีพ ขุนภักดี สองสามีภรรยาพร้อมด้วยพี่น้องคนไทยพลัดถิ่นอีก 4 คน เดินทางมาทำมาหากิน รับจ้างก่อสร้าง ที่ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ฝ่ายภรรยามาหุงข้าวให้สามี ที่หาเงินเก็บหอมรอมริบเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายตอนคลอดลูก ทั้งค่าหมอ ค่าจิปาถะ
แต่เมื่อวันที่ 12 ธ.ค 56 เวลา 14.20 น. ตม.กระบี่ ได้เข้าจับกุม โดยทางเจ้าหน้าที่ ตม.อ้างว่ามีพลเมืองดีแจ้งว่า มีบุคคลลักษณะคล้ายบุคคลต่างด้าวทำงานอยู่ จึงเข้าจับกุมตัวและควบคุมตัวนำส่ง พนง.สภ.เหนือคลอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยตั้งข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่ก่อนหน้าพี่น้องบอกไปแล้วว่า พวกเค้าเป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน แต่ทางเจ้าที่อ้างเขียนระบุในบันทึกการจับกุมว่า เป็นบุคคลต่างด้าว ผู้ที่ถูกจับกุมส่วนหนึ่งเป็นผู้หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจและคนพิการ
ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่กรมการปกครองและทางอำเภอดำเนินการในกระบวนการยื่นคำขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ทั้งนี้พรบ.สัญชาติฉบับที่ 5 ได้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.55 ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้วการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ยังล่าช้า เป็นเหตุให้พี่น้องคนไทยพลัดถิ่นยังถูกจำกัดและลิดรอนสิทธิและเสรีภาพ และพี่น้องคนไทยพลัดถิ่นมีฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำจึงต้องเดินทางไปทำงานเรื่อยๆ
แต่ถ้าดูตามกฏหมายสัญชาติ พี่น้องคนไทยพลัดถิ่นได้สัญชาติไทยโดยกำเนิดตั้งแต่วันที่กฏหมายมีผลใช้บังคับ
เมื่อวานวันที่ 13 ธ.ค.56 เวลา 13.30 น. นายชูอีพ ขุนภักดี ได้ถูกนำตัวไปพิจารณาข้อกล่าวหาที่ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.กระบี่ ผลสรุป ศาลให้ประกันตัวด้วยเงินจำนวน 2,000 บาท และรอวันนัดจากศาลและได้ไปรับใบนัดส่งตัวที่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.กระบี่
ส่วนวันนี้ 14 ธ.ค.56 น.ส.ยูเรี้ย จำนงและพี่น้องคนไทยพลัดถิ่นอีก. 5 คน ถูกส่งตัวไปที่ศาลจังหวัดกระบี่ เพื่อพิจารณาข้อกล่าวหาและฝากขังที่เรือนจำจังหวัดกระบี่และวันจันทร์พวกเขาต้องมีค่าไปประกันตัวจำนวน 50,000 บาทต่อคน 50,000 x 5 = 250,000 บาท
คิดดูเถิดชาวบ้านตาดำๆทำมาหาเลี้ยงชีพยึดอาชีพรับจ้างก่อสร้างเช้าจรดค่ำจะเอาเงินจากที่ไหน เพราะกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง จึงเป็นเหตุให้พี่น้องคนไทย(พลัดถิ่น) ยังถูกลิดรอนสิทธิและถูกจำกัดเสรีภาพอยู่ร่ำไป
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เราได้แต่วิงวอนว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้าย
จากวินาทีนั้นถึงวินาทีนี้ หญิงท้องป่อง ชายผู้พิการ หญิงที่เป็นโรคหัวใจ และพี่น้องคนไทยพลัดถิ่นยังต้องถูกจ้องจำอยู่ในคุกที่ไร้เดือนไร้ตะวัน รอวันที่จะได้สิทธิเสรีภาพคืน แม้จะเป็นระยะเวลา 3-4 วันในคุกที่มืดอับคับแคบ แม้จะถูกแปลงคำเป็นเรือนจำ แต่มันก็ได้ชื่อว่าที่จองจำ สำหรับคนเป็นแม่ ญาติและครอบครัว แม้เพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีก็ไม่อยากเห็นคนที่รักถูกกักขัง
ดาดี้ๆๆๆ เสียงเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่อายุ ราวขวบเศษๆร้องเรียกพ่อมี่อยู่ใจห้องขัง โดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเธอกำลังเผชิญหน้ากับอะไร กรงเหล็ก กุญแจมือ บัตรประจำตัวประชาชน และความล่าช้าในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่คืออุปสรรคที่ทำให้พวกเขาต้องถูกกักขัง เพียงแค่นั้นหรือ
มีคนถามว่าทำไมไม่ขออนุญาตทำงานพี่น้องคนไทยพลัดถิ่นไม่ใช่แรงงานต่างด้าวทำไมต้องขออนุญาตและขึ้นทะเบียนแรงงาน ส่วนเรื่องการขออนุญาตเดินทางออกนอกพื้นที่ ระยะเวลา 15 วันที่อยู่นอกเขตจังหวัด ได้มันคงไม่พอกับการทำงาน 15 บวกกับการขึ้นๆลงๆระหว่างอำเภอกับที่ทำงาน ไหนจะค่ารถไปมาแล้วพวกเค้าจะกินอะไร?? หัวใจคนเป็นแม่แทบดับสลาย ลอกี จันดี เป็นลมล้มฟุบลงกับพื้นเมื่อเห็นลูกสาวที่กำลังท้องเดินขึ้นรถกรงเหล็กของเรือนจำ…..