ชีวิตนอกกรุง : เลี้ยงวัวอย่างไรให้ฉลาด

ชีวิตนอกกรุง : เลี้ยงวัวอย่างไรให้ฉลาด

โจทย์ใหญ่ในการลงพื้นที่ของทีมงานชีวิตนอกกรุงคราวนี้  เราได้ติดต่อกลุ่มผู้เลี้ยงวัวที่ อ.หว้านใหญ่  จ.มุกดาหาร  พื้นที่ซึ่งมีกลุ่มผู้เลี้ยงวัวที่ถือว่ากำลังมีความคึกคักในช่วงนี้ 

โดยกลุ่มผู้เลี้ยงวัวในพื้นที่ อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร  ยังถือว่าเป็นกลุ่มหน้าใหม่ที่กำลังก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ  ที่เราได้เห็นบุคลิกที่มีความโดดเด่นเฉพาะของเครือข่ายผู้เลี้ยงวัวกลุ่มนี้  นั่นคือมีลักษณะการทำงานแบบชุมชน  ไม่ได้เน้นมิติเศรษฐกิจจนไม่ฟังเสียงกันและกัน  ที่น่าจะเป็นโมเดลให้ชาวบ้านผู้มีใจในการเลี้ยงวัวหน้าใหม่ได้เรียนรู้  ที่สำคัญเครือข่ายผู้เลี้ยงวัวกลุ่มนี้พยายามทำให้เห็นถึงการทำงานแบบประณีตที่มีการผสมเอามิติวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเดิมมาประยุกต์กับการเลี้ยงวัวสมัยใหม่ที่ต้องอาศัยความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องงานในเชิงเทคนิคและอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาประกอบ

การเลี้ยงวัวนั้น  แม้อาจดูเป็นเรื่องง่ายๆ  แต่เอาเข้าจริงๆแล้วทุกอย่างไม่ได้ง่ายเลย  คำศัพท์หรือภาษาในการเลี้ยงวัวซึ่งส่วนมากเป็นคำเฉพาะ  ทำให้เราต้องปวดหัวและใช้สมาธิกับการทำงานพอควร  เนื่องจากเนื้อวัวมีหลายเกรด  และรูปแบบการเลี้ยงวัวก็มีหลายแบบ  เอาเฉพาะคำว่าการขุนวัว  ก็มีทั้งขุนระยะสั้น  ขุนระยะยาว  และการลงพื้นที่คราวนี้เราเข้าไปทำงานกับคน 2 กลุ่มคือ  กลุ่มผู้เลี้ยงวัวแม่พันธุ์เพื่อขายลูกและกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุน  หรือการซื้อลูกวัวมาขุนต่อเพื่อขายให้บริษัทส่งออกนอกประเทศ  ดังนั้น  ถ้าลงพื้นที่แบบงงๆที่ไม่ทำการบ้านไปก่อน  เราจะไม่ได้อะไรที่เป็นน้ำเป็นเนื้อและที่สำคัญจะมองประเด็นไม่ทะลุ  ในที่สุดการสื่อสารก็อาจจะผิดพลาด

ครั้งนี้เราโชคดีที่มีโอกาสร่วมงานกับศูนย์ประสานงานวิจัยท้องถิ่นจังหวัดยโสธร  ซึ่งมีพื้นที่ทำงานบางส่วนในจังหวัดมุกดาหาร  โดยมีคุณช่อกัลยา  ศรีชำนิหรือคุณหนูแดง  ผู้ประสานงานชุดโครงการวิจัย  พาเราลงไปพบปะกับพี่น้อง  และทำหน้าที่สรุปข้อมูลคร่าวๆที่เป็นเสมือนล่ามในการอธิบายให้รู้กระบวนการขั้นตอนการทำงานของเครือข่าย 

พี่แขกหรือคุณชำนาญ  เมืองโคตร  ประธานกลุ่มวิสาหกิจพัฒนาตนเองบ้านโคกสวาสดิ์  ต.ป่งขาม  อ.หว้านใหญ่  จ.มุกดาหาร  ถือเป็นคีย์แมนสำคัญในการให้ข้อมูลในพื้นที่  นับว่าโชคดีมากที่คุณหนูแดงพาเรามารู้จักกับพี่แขก  เพราะนี่คือคนที่พาชาวบ้านกลุ่มผู้เลี้ยงวัวยกระดับการทำงานในการเลี้ยงวัวแม่พันธุ์  จากเดิมที่หลายคนคุ้นชินกับการเลี้ยงวัวแบบบ้านๆโดยการเลี้ยงไล่ทุ่งทั่วไป  ให้รู้จักคำว่าการจัดการที่มีองค์ประกอบอื่นๆที่หลากหลาย  ซึ่งหากถามว่า  เครือข่ายผู้เลี้ยงวัวกลุ่มนี้เลี้ยงอย่างไรถึงฉลาดและไม่พลาดที่จะได้กำไรงามๆ  ก็พอจะย่อยอธิบายเป็นข้อๆ  อันได้แก่

พี่แขกหรือคุณชำนาญ  เมืองโคตร  ประธานกลุ่มวิสาหกิจพัฒนาตนเองบ้านโคกสวาสดิ์  ต.ป่งขาม  อ.หว้านใหญ่  จ.มุกดาหาร 

หนึ่ง – จัดคอกอย่างไรให้ดูดีมีระบบ?  ด่านแรกในการทำให้การเลี้ยงวัวดูฉลาดคือการจัดคอก การลงพื้นที่เที่ยวนี้เราได้เห็นคอกวัวที่มีระบบ  มองตาเดียวก็รู้เลยว่าคอกถูกจัดการไว้อย่างดีแล้ว  ต่างจากคอกวัวชาวบ้านทั่วไปที่เคยเห็น  ไล่มาตั้งแต่  รางใส่อาหาร  จุดให้น้ำ  แสงสว่าง  พื้นคอกที่โรยด้วยปูนขาวกันความชื้น  รวมทั้งการจัดคอกย่อยในคอกใหญ่ให้วัวแต่ละตัวมีพื้นที่เฉพาะ

“วัวแต่ละตัวมีพัฒนาการและมีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมือนกัน  บางตัวกินเก่งบางตัวก็กินไม่ทันตัวอื่น  ดังนั้น  การให้มีคอกเฉพาะและมีรางอาหารเฉพาะจึงทำให้วัวแต่ละตัวได้กินอาหารในปริมาณที่ต้องการ” 

พี่แขกเล่าให้ฟังถึงที่มาของการจัดคอกย่อยในคอกใหญ่  นอกจากนี้ในคอกยังมีอุปกรณ์อื่นๆเสริมตามที่เจ้าของคอกจะออกแบบได้  เช่น  การห้อยวัสดุที่เป็นลักษณะชิ้น  เช่น  ผ้า  หรือกระสอบ  เพื่อให้วัวได้ชนเล่นที่เป็นการเพิ่มกำลังและให้วัวได้ผ่อนคลาย  ที่สำคัญในบริเวณรอบๆคอกแม้จะมีพื้นที่จำกัดก็ควรกันที่ให้วัวได้ออกมาเดินเล่นเพื่อลดความเครียดในช่วงเย็นๆ ซึ่งจะทำให้วัวอารมณ์ดีและเติบโตสมวัย

รางอาหารจากการจัดระบบคอกที่ดี

สอง – อาหารวัวที่ดีต้องเป็นแบบไหน?  ที่ผ่านมาชาวบ้านมักคุ้นชินกับการปล่อยให้วัวออกไปกินหญ้าตามทุ่ง  เพื่อกินอาหารตามที่วัวจะแทะเล็มได้  ถ้าพื้นที่ไหนอุดมสมบูรณ์หญ้าเยอะจำนวนวัวน้อย  อาหารวัวก็อาจจะเต็มอิ่ม แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้ง  อากาศร้อนและหญ้าแห้ง  วัวก็อาจลำบากในการหาอหาร  และที่สำคัญนั่นคือวิธีการในอดีตที่ไม่ใช่ปัจจุบัน  ซึ่งทุกวันนี้พื้นที่ในการเลี้ยงเริ่มมีจำกัดมากขึ้น  ในสภาวะที่บ้านเรือนมากขึ้น  พื้นที่ทางการเกษตรของชุมชนถูกจัดการและในผืนนาหรือทุ่งเต็มไปด้วยสารเคมีที่ไม่ปลอดภัย  ดังนั้นการปล่อยวัวเลี้ยงทุ่งแบบเดิมอาจไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป  และการจัดการอาหารจึงเป็นเรื่องจำเป็น  ซึ่งเรื่องนี้อาจารย์ธนพัฒน์  สุระนรากุลหรืออาจารย์บอล  จากคณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยนครพนม  โดยอาจารย์ได้เข้ามาหนุนเสริมในฐานะนักวิชาการที่เข้ามาร่วมงานกับชุมชน  ได้เล่าให้เราฟังว่า  “วัวในยุคปัจจุบันนอกจากหญ้ากับฟังแล้ว  วัวตัวได้กินอาหารคลุกส่วนหรืออาหาร “TMR” (Total Mixed Ration) ที่เป็นอาหารผสมสำเร็จรูปที่เกิดจาก การนำอาหารหยาบและอาหารข้นมาผสมกันในอัตราตราส่วนที่เหมาะสม  และต้องได้กินหัวอาหารด้วยผสมกับหญ้าสดที่เป็นอาหารหลักอยู่แล้ว  และน้ำอย่าให้ขาดต้องมีน้ำสำรองตลอดเวลา  อีกทั้งวัวในยุคนี้ยังต้องการโปรตีนและสารอาหารอื่นๆเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน  เพราะโรคภัยไข้เจ็บมันเยอะ  เช่น  โรคลัมปีสกินซึ่งระบาดมากในช่วงที่ผ่านมา  ดังนั้น  การได้กินอาหารของวัวจำเป็นต้องมีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย”

สาม – เลี้ยงวัวให้ฉลาด ต้องมีข้อมูลประกอบ  เรื่องนี้พี่แอนหรือคุณฉันทนา  ใจช่วง  อีกหนึ่งแกนนำสำคัญที่มีบทบาทในฐานะนักจัดการข้อมูลของชุมชนเล่าให้ฟังว่า 

จุดเปลี่ยนสำคัญของผู้เลี้ยงวัวที่นี่  คือการรู้จักการใช้ข้อมูล  เช่น  ข้อมูลวันผสม  วันกลับสัด  วันกำหนดคลอด  ข้อมูลแปลงหญ้า  และที่สำคัญคือข้อมูลต้นทุน กำไร  จากการเลี้ยงและการขาย  ทุกวันนี้เราใช้ข้อมูลในการตัดสินใจเพื่อการเลี้ยงวัวและการจัดการกลุ่ม  จากเมื่อก่อนที่ไม่เคยเก็บข้อมูล ทำให้ไม่รู้เลยว่าจะต้องวางแผนการเลี้ยงและการขายแบบไหน  ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่เรารู้ว่า  ณ  วันนี้เรามีวัวตั้งท้องเท่าไหร่  เรามีแม่พันธุ์กี่ตัว  มีลูกวัวเพิ่งคลอดกี่ตัว  ซึ่งจะทำให้เราวางแผนการตลาดได้ว่า  จากนี้อีกประมาณกี่เดือนกลุ่มเราจะปล่อยลูกวัวให้คอกที่จะนำไปขุนต่อ  ซึ่งทำให้คนที่ทำงานกับเรามีความมั่นใจและให้เครดิตในทางที่ดี”  

ฉันทนา ใจช่วง หรือพี่แอน

นอกจากนี้เรื่องข้อมูลยังหมายถึง  การที่ผู้เลี้ยงวัวต้องรู้น้ำหนักวัวตัวเอง  เนื่องจากพ่อค้าที่มาซื้อในอดีตมักมีการประเมินน้ำหนักจากการคะเนด้วยสายตาและชาวบ้านก็โดนกดราคาจนเป็นเรื่องปกติ  ทำให้ขายวัวได้ราคาที่ไม่เป็นธรรม  แต่หลังจากชาวบ้านได้หารือผ่านการทำงานวิจัยร่วมกัน  ทำให้เกิดไอเดียว่าทุกคนจำเป็นต้องรู้น้ำหนักวัวซึ่งอาจจะไม่ตรงนักแต่ก็ควรคาดเดาได้  โดยในเรื่องนี้อาจารย์บอลได้นำสายวัดรอบอกที่มีเกณฑ์น้ำหนักมาให้ชาวบ้านลองใช้  และถ้ายังไม่จุใจก็มีบางคนนำวัวไปขึ้นตราชั่งเพื่อให้รู้ข้อมูลน้ำหนักที่ชัดเจนและกำหนดราคาให้พ่อค้าคนกลางรู้เพื่อป้องกันการเอาเปรียบ  ซึ่งต่างจากอดีตที่พ่อค้าเป็นผู้กำหนดราคามาโดยตลอด

สี่ –  เลี้ยงวัวให้ฉลาดต้องจัดการระบบกลุ่ม  การเกิดกลุ่มผู้เลี้ยงวัวในพื้นที่ 2 ตำบล คือตำบลป่งขามที่เลี้ยงวัวแม่พันธุ์ และ ตำบลหว้านใหญ่ซึ่งเลี้ยงวัวขุนระยะสั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวะก้าวที่สำคัญของชาวบ้านที่นี่  เพราะทำให้สมาชิกเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในเชิงเทคนิคต่างๆ  และการเข้าถึงข้อมูล  ที่สำคัญเกิดการเชื่อมประสานการซื้อขายจากกลุ่มเลี้ยงวัวแม่พันธุ์เพื่อขายลูกมาสู่กลุ่มที่เลี้ยงวัวขุนเพื่อเตรียมส่งขายแปรรูป  ทำให้เกิดการลดช่องว่างที่ไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลางมาซื้อซึ่งเป็นเสมือนแค่คนมาเอากำไรส่วนต่างที่ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องจ่ายค่านายหน้าอย่างน้อยก็เป็นเงิน 3,000 – 4,000 บาท แต่ถ้ามีการดีลกันโดยตรงระหว่างผู้เลี้ยงสองกลุ่มก็จะทำให้เงินก้อนนี้ถูกนำมาบวกเป็นกำไร และทำให้การเลี้ยงวัวของชาวบ้านดูฉลาดกว่าเดิมไม่ต้องเสียเงินกินเปล่าให้พ่อค้าที่ไม่ได้ลงทุนอะไร

ห้า – เลี้ยงวัวอย่างไรให้รู้ทันเกมการตลาด? อย่างที่เกริ่นในข้อก่อนๆว่า  พ่อค้าคนกลางหรือที่เมื่อก่อนชาวอีสานเรียกว่า “นายฮ้อย” คือกลุ่มคนที่มักเข้ามาตระเวนหาซื้อวัวไปป้อนให้คอกโคขุน  โดยที่ส่วนมากมักมาเป็นขบวนการซึ่งเป็นรูปแบบที่พ่อค้ามักทำโดยมักจะมา 2 – 3 คน ในเวลาที่ต่างกันไม่มาก  เช่น  คนแรกเข้ามาและมีการประเมินราคาที่สูงนิดหน่อย  และถ้าผู้เลี้ยงยังไม่ขาย  ในเวลาไม่นานก็จะมีพ่อค้าคนที่สองเข้ามาถามซื้อซึ่งจะให้ราคาที่ต่ำลง  และผู้เลี้ยงจะรู้สึกว่าได้ราคาไม่เท่าคนแรกก็เลยยังไม่ขาย  และต่อมาก็มีคนที่สามเข้ามาขอซื้อ  ซึ่งก็จะให้ราคาเท่ากับคนแรก  ซึ่งผู้เลี้ยงก็มักจะหลงกลว่าราคาซึ่งคนที่หนึ่งกับคนที่สามให้น่าจะเป็นราคามาตรฐาน  ก็เลยต้องยอมขาย  แต่เหล่านี้คือกลโกงที่พ่อค้ามาเป็นขบวนการเพื่อหลอกให้ชาวบ้านตายใจ  โดยไม่มีอำนาจต่อรองต้องยอมจำนนกับราคาที่พ่อค้ากำหนด  แต่ถ้าชาวบ้านมีข้อมูลตัวเลขน้ำหนักที่ชัดเจนและรู้กลวิธีของพ่อค้า  ที่สำคัญมีการทำงานเป็นกลุ่มก็จะทำให้ผู้เลี้ยงเพิ่มอำนาจการต่อรองซึ่งในระยะยาวก็จะสามารถกำหนดราคาเองได้อย่างเต็มรูปแบบ 

ภาพมุมสูงลักษณะการจัดการคอกในชุมชน ที่มีทั้งคอกและบริเวณให้วัวได้เดินเล่น แม้จะอยู่ในชุมชนแต่ถ้าจัดการพื้นที่ให้ดีก็สามารถเลี้ยงได้

เหล่านี้คือเรื่องราวที่เราพบเจอและลงพื้นที่ถ่ายทำเพื่อบันทึกไว้ในรายการชีวิตนอกกรุง  ตอน  เลี้ยงวัวอย่างไรให้ฉลาด  ซึ่งเราได้เห็นความพยายามในการวางเศรษฐกิจฐานรากจากผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย  เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองลดช่องว่างด้านรายได้และให้มีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุด  ซึ่งเรามองว่านี่คือทางออกในอนาคตของสังคมที่ควรดำเนินต่อไป

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ