ชีวิตนอกกรุง : สกลเฮ็ด เมืองทำมือ

ชีวิตนอกกรุง : สกลเฮ็ด เมืองทำมือ

“สกลเฮ็ดคือวิถีชีวิต”  คำพูดที่เป็นเสมือนวลีเด็ดที่ออกจากปากของยิปซี  จันทร์เพ็งเพ็ญหรือที่คนรุ่นใหม่เมืองสกลเรียกกันติดปากว่า “พี่ยิป”  เขาคือผู้ก่อตั้งกลุ่มสกลเฮ็ดเมื่อราว 5 ปีก่อน  ซึ่งเริ่มต้นกับเพื่อนๆในเมืองสกลนครอีกไม่กี่คน  ด้วยหวังว่าพื้นที่สร้างสรรค์ในแบบสกลเฮ็ดจะกลายเป็นปลายทางสำหรับหนุ่มสาวที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการล่าฝัน  และต้องการกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดสกลนคร  เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานทั้งรับใช้ตนเองและรับใช้สังคม

พี่ยิปซีกับลีลาการดริปกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์

“กลุ่มสกลเฮ็ดมีสมาชิกส่วนมากเป็นศิลปิน”  พี่ยิปซีเล่าให้ฟังต่อถึงบุคลิกของสมาชิกกลุ่ม  ซึ่งแน่นอนทุกคนล้วนแต่มีความเป็นศิลปิน  แต่อาจจะเป็นศิลปินที่มีความต่างในเรื่องชิ้นงานนั่นคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  ความสำคัญอยู่ที่การมีมุมมอง  ความรู้สึก  และทัศนคติที่โน้มเอียงมาสู่การทำผลงานศิลปะเพื่อรับใช้ชาวสกลนครและรวมถึงทุกคนที่สนใจงานของพวกเขา

จุดเริ่มต้นของการเป็นสกลเฮ็ดเกิดจากการจัดงานเทศกลาลสกลเฮ็ดครั้งที่หนึ่งเมื่อราว 5 ปีก่อน  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของคนที่สนใจในการสร้างงานฝีมือหรือที่ยุคนี้เรียกชื่อเก๋ๆว่า “งานคราฟต์” ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีต  ความพิถีพิถัน  ซึ่งในจังหวะนั้นทุกคนมองว่าการจัดงานจะเป็นประตูไปสู่การสร้างความรับรู้ต่อสาธารณชนให้ทราบว่าเมืองสกลนครมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความใฝ่ฝันเพื่อบ้านเกิดและมีงานฝีมือเพื่ออวดโฉมต่อทุกคน  และงานเหล่านี้จะกลายเป็นแบรนด์ที่มีคุณค่าทั้งในแง่ของฝีมือและความหมายที่ผูกโยงกับวัฒนธรรมบ้านเกิด

บรรยากาศงานเทศกาลสกลเฮ็ด

“ได้ลองคุยกันว่าน่าจะมีเฟสติวอลสักครั้งหนึ่งที่บ้านเราก็คือสกลนคร  ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง  ก็เลยชักชวนกันในกลุ่มคนที่รู้จัก  คนนั้นชวนคนนี้  คนนี้ชวนคนโน้น  คนนั้นก็กลับบ้านอีกคนก็กลับเหมือนกัน  คนนั้นกลับมาทำเกษตรอีกคนอยู่ต่างอำเภอและทอผ้า  จากนั้นก็เลยนัดก็นัดคุยกัน  คุยแนวทางว่าพอกลับมาบ้านแล้ว  อยากทำอะไรสักครั้งหนึ่งเพื่อบ้านเราที่จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่คิดจะกลับบ้านเหมือนกันว่าจะทำอะไรเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด”  พี่ยิปซีเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศช่วงเริ่มต้น  ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วทุกไม่ได้รู้จักกันทั้งหมด  หากแต่รู้จักกันผ่านการเชิญเพื่อนของเพื่อน  เป็นลักษณะเล่าให้กันฟังปากต่อปาก  แต่จุดร่วมที่ทุกคนมีคือความสามารถด้านงานฝีมือและมีใจรักบ้านเกิด  ซึ่งโจทย์ในช่วงเริ่มต้นคือ  กลับบ้านอย่างไรถึงจะอยู่รอด?

สมาชิกกลุ่มและผองเพื่อนสกลเฮ็ด

จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการเห็นงาน Festival เพื่อโชว์ของกลับกลายเป็นว่า  ตอนนี้คำว่า “สกลเฮ็ด”  กลายเป็นคำที่คนทั่วไปรู้จัก  ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนในจังหวัดสกลนคร  หากแต่รวมถึงคนทั่วประเทศที่ต่างก็ให้ความสำคัญและจับตาดูว่า  คนรุ่นใหม่เหล่านี้จะเดินหน้าต่ออย่างไร  และถ้าจะพูดกันตามตรงตอนนี้กลุ่มสกลเฮ็ดก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกึ่งสถาบันหรือองค์กรที่คนสกลนครโดยเฉพาะในกลุ่มแกนนำระดับจังหวัด  หวังจะให้พวกเขาเป็นที่พึ่งและร่วมขับเคลื่อนงานเพื่อร่วมออกแบบจังหวัดสกลนครให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน

คำถามสำคัญคือผ่านมา 5 ปี วันนี้การทำงานของสกลเฮ็ดเป็นอย่างไร  พวกเขายังคงเกาะเกี่ยว  เชื่อมร้อยและมีรูปแบบการทำงานที่เข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่

การได้พูดคุยกับพี่ยิปซี  ทำให้รู้ว่า ณ วันนี้กลุ่มสกลเฮ็ดยังคงเดินหน้าต่อไป  และหากถามในส่วนของกิจการเพื่อตอบโจทย์จุดเริ่มต้นคือ  การกลับบ้านมาสานฝันและให้ตัวเองอยู่รอดกับงานคราฟต์ที่แลกด้วยฝีมืออันเกิดจากการดึงเอาสายเลือดความเป็นศิลปินมาออกแบบงานให้มีชีวิตและเลี้ยงปากท้อง  ตอนนี้ถือว่ากลุ่มสกลเฮ็ดไปได้สวย  ไม่ได้มีปัญหา

“ตอนนี้ถือว่าทุกคนไปได้ดี  มีการพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง  ในสมาชิกหลักประมาณ 20 คน ยังมีงานตลอดและเรื่องงานขายก็เลี้ยงตัวเองได้  ซึ่งถือว่าเกินคาดทีเดียว”  นี่คือคำยืนยันจากปากของพี่ยิปซีถึงความสำเร็จเบื้องต้น  ยังไม่เพียงเท่านั้น  เมื่อเลี้ยงตัวเองและอยู่ได้แล้ว  สิ่งสำคัญที่ต้องขยับต่อคือการขยายฐานคิดของแต่ละคนเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ  และคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็จะลุกขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการทำงานเพื่อชาวสกลนคร

สุทธิพงษ์  ศรีไกรภักดิ์  หรือต้น  เจ้าของแบรนด์ “ดินจี่เสรีไท” นี่คือคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาร่วมวงในฐานะลูกศิษย์พี่ยิปซี  ต้นตัดสินใจกลับมาทำงานปั้นที่บ้านเมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว  หลังจากที่มีโอกาสรู้จักกับพี่ยิปซี  และได้ฟังเรื่องราวทั้งมุมคิดและวิถีการพึ่งตนเองในแบบของชุดความคิดของกลุ่มสกลเฮ็ด  จึงทำให้เขารู้สึกศรัทธาและอยากเข้ามาร่วมวง  รวมถึงพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า  การกลับมาอยู่บ้านที่อำเภอเต่างอยและสร้างงานศิลปะบนฐานชีวิตที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร

สุทธิพงษ์ ศรีไกรภักดิ์ หรือต้น นักปั้นดินเซรามิก ลูกศิษย์รุ่นหลังของกลุ่มสกลเฮ็ด เจ้าของแบรนด์ ดินจี่เสรีไท

“ดินจี่  แปลเป็นภาษาอีสานคือดินเผ่า  ก็เหมือนกับข้าวจี่  แต่นี่เราเอาดินมาเผาก็เลยเป็นดินจี่  เพราะรู้สึกว่าอยากใช้ภาษาให้เป็นพื้นบ้านและมีความเป็นตัวตน  ส่วนคำว่า  เสรีไท  ก็เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นซึ่งแถบนี้เป็นดินแดนนักรบที่มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองในอดีตมายาวนาน”  ต้นเล่าให้ฟังถึงที่มาของชื่อแบรนด์ที่พยายามผูกโยงกับความเป็นพื้นถิ่นเพื่อให้มีความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้น

ดินเหนียวที่ต้นนำมาปั้นและเผาเพื่อสร้างงานเซรามิกให้ออกมามีความสดและวาว  คือดินจากพื้นที่หลายชุมชนในหลายอำเภอของจังหวัดสกลนคร  ซึ่งต้นออกเดินทางเพื่อตามหาดินเหนียวที่มีคุณสมบัติเหมาะสม  จนสรุปได้ว่าดินที่ดีที่สุดที่เอามาใช้ในงานของเขาคือดินสกลนคร  ยิ่งเมื่อได้นำมาผสมกับการปั้นโดยใช้แรงบันดาลใจจากความเป็นวัฒนธรรม  ประเพณี  ประวัติศาสตร์ของจังหวัดสกลนคร  ให้เกิดงานที่ออกมาจากจินตนาการและความรู้สึกของต้น  ก็ยิ่งทำให้งานทุกชิ้นมีความหมายเพิ่มมากขึ้น

“ดินสกลนครมีคุณสมบัติดีคือสามารถเผาไฟที่มีความร้อนสูงได้  เป็นสโตนแวร์ที่ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับเซรามิกงานปั้น  ซึ่งมีสีเฉพาะตัว  มีความวาวเวลาเคาะจะมีเสียงดังคล้ายแก้วซึ่งมีความเป็นโซเดี่ยม  มันวาว  สามารถเผาได้ครั้งเดียวจบ  ไม่ต้องเคลือบ  เพราะถ้าดินที่อื่นจะต้องเคลือบถึงจะสวย  แต่ดินสกลนครไม่ต้องเคลือบก็สวยเพราะมันมีความวาว  เรียบ  และเนียนเนื่องจากไม่มีทรายและดินอื่นปนเปื้อนเยอะ”  ต้นเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดเชิงเทคนิคของการทำงานปั้นและความโดดเด่นของดินเหนียวสกลนคร  ซึ่งสำคัญกว่านั้นคือวันนี้เขามีความเข้าใจต่อความเป็นบ้านเกิดของตนเองมากขึ้น  ผ่านการทำงานปั้นที่ไม่ใช่แค่เข้าใจคุณสมบัติของดินอันเป็นวัตถุดิบเพื่อเอามาทำงานเท่านั้น  หากแต่การเดินทางในจังหวัดที่บ้านเกิดตัวเอง  ทำให้เขาได้เรียนรู้ผู้คน  ประวัติศาสตร์และรากเหง้าที่ลึกมากขึ้น

สิ่งที่ต้นประทับใจอีกอย่างหนึ่งในการเข้ามาในฐานะลูกศิษย์ของกลุ่มสกลเฮ็ดคือบรรยากาศการล้อมวงคุย  เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง  ทัศนคติ  อุดมการณ์และความฝันของแต่ละคน  ที่ต้นมองว่ามันคือเสน่ห์ในการทำกิจกรรมร่วมกันของคนรุ่นใหม่เพื่อเติมไฟให้แก่กันและกัน  และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงหลงรักความเป็นสกลเฮ็ดและกลายเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการจัดงานแต่ละครั้ง

วันนี้กลุ่มสกลเฮ็ดเดินทางมากกว่า 5 ปี และกับคำถามในช่วงแรกคือ ณ วันนี้กลุ่มยังคงเดินทางอยู่หรือไม่  คำตอบคือกำลังเดินทางและถ้าพูดถึงการมีกิจการจากงานคราฟต์และการเป็นผู้ประกอบการก็ถือว่าทุกคนไปได้สวย  ทั้งร้านกาแฟดริปของพี่ยิปซี  งานปั้นของต้น  นอกจากนี้ยังมีงานผ้า  ทั้งการย้อม  การทอ  การปัก  การเย็บ  และรวมถึงแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ  แต่สำคัญมากกว่านั้นคือการเป็นกำลังหลักทางความคิดในแบบคนรุ่นใหม่ของจังหวัดสกลนคร  ซึ่งความคิดเหล่านี้หลายอย่างก็ถูกแปลงเป็นการปฏิบัติที่ผู้ใหญ่ให้การยอมรับ  ซึ่งจะว่าไปแล้วสกลเฮ็ด  คือกลุ่มที่เป็นพลังแห่งความหวังในการมาสานงานต่อเพื่อพัฒนาเมืองสกลให้มีความร่วมสมัยที่นำเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ให้มีความคลาสสิกได้อย่างลงตัว

สกลเฮ็ด  ถือเป็นต้นแบบของพลังของคนหนุ่มสาว  ที่ถือเป็นแรงบันดาลใจให้พื้นที่อื่นๆ  นี่คือดอกผลจากความรักต่อบ้านเกิด  โดยมีงานศิลปะหรือที่ยุคนี้เรียกว่างานคราฟต์เป็นสื่อกลางในการเชื่อมร้อยและส่งต่อพลังให้กัน  โดยถือว่าพวกเขาสามารถทลายโจทย์ของการกลับมาอยู่บ้านเพื่ออยู่ให้รอด  และพอรอดก็กลายเป็นกำลังสำคัญเพื่อต่อเติมเมืองสกลนครให้มีชีวิตชีวา  น่าอยู่อย่างที่ต้องการ  นี่คือเรื่องราวที่พวกเราทีมชีวิตนอกกรุงนำมาเล่าให้ฟัง  กับความเป็น “สกลเฮ็ด : เมืองทำมือ”

#ชีวิตนอกกรุง

#สกลเฮ็ดเมืองทำมือ

#สกลนคร

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ