องศาเหนือ : 8 ข้อเสนอของสภาลมหายใจภาคเหนือ ถึงรัฐบาลให้ปรับทิศ เร่งทำงาน ก่อนถึงฤดูฝุ่นควันปี 65

องศาเหนือ : 8 ข้อเสนอของสภาลมหายใจภาคเหนือ ถึงรัฐบาลให้ปรับทิศ เร่งทำงาน ก่อนถึงฤดูฝุ่นควันปี 65

วันที่ 9 ก.ค. 2564 สภาลมหายใจภาคเหนือ พร้อมด้วยผู้แทนสภาลมหายใจ 8 จังหวัดภาคเหนือ และภาคี
เปิดแถลงข่าวข้อผลักดันข้อเสนอการป้องกันและแก้ปัญหาก่อนฤดูฝุ่นควันรอบใหม่ พ.ศ.2565 และยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนของสภาลมหายใจภาคเหนือ (สภน.) เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการระหว่างกรกฎาคม ถึงต้นปี 2565

สภาลมหายใจภาคเหนือและเครือข่ายพันธมิตร ประกอบจากกลุ่มประชาชน  ชมรม องค์กรภาคเอกชน และประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหามลพิษอากาศฝุ่นควันไฟ PM2.5 ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมองว่าภูมิศาสตร์แอ่งกระทะภูเขาและระบบนิเวศที่มีสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้มากกว่า 65% เป็นลักษณะเฉพาะที่มีผลต่อสภาพปัญหา ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องดำเนินการให้เกิดมีแผนและมาตรการเฉพาะ เพื่อจะเอาชนะปัญหานี้

ทั้งนี้ มีรายงานผลสรุปการแก้ปัญหาระหว่างช่วงวิกฤตฤดูแล้งที่ผ่านมาให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เมื่อ 5 พฤษภาคม 2564 โดยชี้ว่าการแก้ปัญหาดีขึ้นโดยลำดับ รวมถึงการวางแนวทางแก้ปัญหาระยะต่อไปอย่างครบครัน สภาลมหายใจภาคเหนือ  ได้วิเคราะห์ประเด็นปัญหาแล้วพบว่าการสถิติจุดความร้อนลดลง อย่างชัดเจนส่วนหนึ่งมาจากการยกระดับปัจจัยจากการบริหารจัดการในบางจังหวัด แต่ปัจจัยเอื้อสำคัญที่สุด มาจากสภาพภูมิอากาศ เกิดปรากฏการณ์ลานีญามีฝนมากกว่าปกติ ค่ามลพิษและการเกิดไฟโดยเฉพาะในเดือนเมษายน ลดลงเมื่อเทียบจากปีปกติ จึงไม่อาจยืนยันว่ามาตรการแก้ปัญหาของปี 2564 ได้รับความสำเร็จ

สภาลมหายใจภาคเหนือพบว่ามาตรการแก้ปัญหาของรัฐหลายประการยังมีปัญหาในเชิงประสิทธิภาพบ้าง ยังไม่เป็นไปตามที่แผนปฏิบัติการตามวาระแห่งชาติฯ ประกาศ และยังไม่มีความชัดเจนจริงจังในภาพรวม เพื่อให้ปัญหามลพิษอากาศของภาคเหนือได้รับการแก้ไขในระดับที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตปกติได้ เพื่อให้การแก้ปัญหามลพิษอากาศฝุ่นควันไฟ pm2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ระยะต่อจากนี้ไปถึงปลายปี 2564 – ต้นปี 2565 ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สภาลมหายใจภาคเหนือ ขอเสนอให้รัฐบาลได้โปรดให้มีมาตรการเพิ่มเติม จากแผนงานที่กำลังดำเนินการ ได้แก่

1.
รัฐบาลยังไม่จริงจังกับดัชนีคุณภาพอากาศ

ข้อปัญหา – วาระแห่งชาติกำหนดว่าให้ปรับมาตรฐานคุณภาพอากาศ pm2.5  ของไทยให้เป็นไปตามเป้าหมายระยะที่ 3 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในปี 2564

ก่อนฤดูฝุ่นควันที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดประชุมหารือเพื่อจะปรับมาตรฐานดังกล่าวให้เข้มงวดขึ้น แต่ก็หายเงียบไป ไม่เพียงเท่านั้นกรณีสถานีวัดคุณภาพอากาศของรัฐโดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) มีจำนวนน้อย บางจังหวัด มีเพียงสถานีเดียว ไม่สะท้อนสภาพอากาศที่แท้จริงของจังหวัด ขณะที่เครือข่ายเครื่องวัดคุณภาพอากาศขนาดเล็ก ของหน่วยงานอื่นที่มีเทคโนโลยีเชื่อถือได้กลับไม่ได้รับการส่งเสริมแท้จริง ผู้บริหารบางจังหวัด  ไม่มีนโยบายให้ติดตั้ง ทั้ง ๆ ที่มาตรฐานคุณภาพอากาศและการรายงานดัชนีคุณภาพอากาศที่รวดเร็ว เจาะจงพื้นที่อย่างครอบคลุม มีผลต่อความตื่นตัวของประชาชน

ข้อเสนอ

รัฐบาลต้องประกาศมาตรฐานคุณภาพอากาศใหม่เป็นไปตามเป้าหมายระยะ 3 ของ WHO คือ ค่าเฉลี่ยราย24ชั่วโมงปรับจาก 50 มคก./ลบ.ม. เป็น37 มคก./ลบ.ม. และค่าเฉลี่ยรายปีปรับจาก25 มคก./ลบ.ม. เป็น 15 มคก./ลบ.ม. ขอให้รัฐบาลจัดการต่อยอดขยายโครงการโรงเรียนสู้ฝุ่นซึ่งจะมีการติดตั้งองค์ความรู้ ในการป้องกันตัวเองของนักเรียนและชุมชนติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุม ทุกตำบลใน 8 จังหวัดภาคเหนือที่มีวิกฤตคุณภาพอากาศเป็นประจำทุกปีเพื่อให้เกิดการตื่นตัวในหมู่ประชาชน และเป็นการเตรียมการป้องกันด้านสุขภาพของตัวเองด้วยก่อนขยายไปทั้งภาคเหนือควบคู่กับการเคลื่อนไหว ของสภาลมหายใจภาคเหนือต่อไป

2.
ความล้มเหลวในการจัดการไฟในเขตป่าของรัฐ

ข้อปัญหา – พื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีนิเวศพิเศษต่างจากพื้นที่อื่น เป็นพื้นที่เมืองในหุบเขามีภูเขาสูง และมีป่าไม้ประมาณ 65% ของพื้นที่ สถิติหลายปีย้อนหลัง ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ เป็นพื้นที่เกิดจุดเกิดไฟ ไหม้สูงสุดมากกว่าพื้นที่เกษตรกรรมและอื่น ๆ ปีนี้สถิติที่ได้รายงานต่อ ครม. มีจุดความร้อนของพื้นที่ภาคเหนือ ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 43% รองลงมาคือป่าสงวนแห่งชาติ 37% ของจุดความร้อนทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพื้นที่ป่าของรัฐ เป็นแหล่งกำเนิดไฟและมลพิษฝุ่นควันหลักของภาคเหนือตอนบน แต่รัฐยังไม่มีมาตรการเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพ ปีที่ผ่านมารัฐออกมาตรการชิงเก็บใบไม้จากป่าได้ประมาณ 2 พันตัน จากชีวมวลในป่าภาคเหนือไม่น้อยกว่า 20 ล้าน ตัน และกล่าวอ้างว่าเป็นมาตรการที่ได้ผล ขณะที่ในระหว่างปี กรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมป่าไม้ หน่วยงาน ที่ดูแลพื้นที่ป่ายังไม่มีมาตรการเชิงป้องกันตามหลัก Precautionary Principle อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การบริหาร จัดการเชื้อเพลิงในระหว่างปี การเพิ่มประสิทธิภาพระบบป้องกันและดับไฟเพิ่มจากที่เคยเป็นมา รวมถึง การไม่เปิดเผยสาเหตุข้อปัญหาของการเกิดไฟจำนวนมากในป่าต่อสาธารณะ ทั้งนี้รัฐบาลกลางยังไม่มีนโยบาย ที่ชัดเจนต่อมาตรการบริหารจัดการไฟ (prescribed burning) หรือที่ชาวบ้านเรียกชิงเผา ในพื้นที่ป่าของรัฐ ทั้งที่มาตรการดังกล่าวสามารถนำมาปรับใช้เพื่อลดเชื้อเพลิงได้

ข้อเสนอ

ให้รัฐบาลเร่งศึกษาสาเหตุต้นตอการเกิดไฟในพื้นที่ป่าภาคเหนืออย่างจริงจัง และวางมาตรการ ป้องกันและแก้ไขให้ตรงกับลักษณะปัญหา ปีที่ผ่านมามีการระดมสรรพกำลังป้องกันดอยสุเทพ-ปุย ไม่ให้เกิดไฟไหม้ และประสบผลสำเร็จในระดับสำคัญ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าหากรัฐมีเจตจำนงในการปกป้องพื้นที่ป่าไม่ให้เกิดไฟ สามารถทำได้ นอกจากนั้นขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในป่าโดยการบริหารจัดการไฟ ตามหลักวิชาการ (prescribed burning) ที่ไม่ใช่การเผาแปลงใหญ่แบบไม่มีหลักการ ดังตัวอย่างที่เกิดจาก ในปีก่อน ๆ การเผาไร่อ้อยที่ภาคเหนือตอนล่าง หรือภาคอีสานที่ทำให้ค่าอากาศเลวร้ายเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ของประชาชนและอาจจะพิจารณาดำเนินการได้ตลอดทั้งปี ไม่ใช่การเผาในฤดูแล้งเพียงประการเดียว ที่สำคัญที่สุด คือ เปิดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐอื่นและภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วน ในการร่วมแก้ปัญหาตลอดทั้งปี โดยไม่ติดข้อปัญหาทางกฎหมายป่าไม้

3.
การบริหารจัดการเผาในพื้นที่เกษตร ยังไม่มีเป้าหมายสู่ความยั่งยืน

ข้อปัญหา – ไฟในภาคเกษตร เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษฝุ่นควัน pm2.5 ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ไฟภาคเกษตรเป็นอีกแหล่งมลพิษที่ก่อปัญหาเรื้อรังให้กับจังหวัดภาคเหนือ ปัญหาที่พบก็คือ ไฟภาคเกษตรเกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิตและเศรษฐกิจของประชาชน อีกทั้งยังเป็นสภาพจำเป็นภายใต้นิเวศแวดล้อม เช่น ภูมิปัญหาไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูง จึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการไฟกลุ่มนี้ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ความเป็นธรรม และความเหมาะสม ไฟบางอย่างสามารถจัดการเลื่อน/ชะลอ หรือเปลี่ยนวิธี ไฟบางอย่างจำเป็นต้องมีแต่ให้ถูกจังหวะเวลา ฯลฯ ทุกปีที่ผ่านมา ควันไฟและฝุ่นละอองจากการเผา ภาคเกษตร เช่น ไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย เผาตอซังในนาข้าว รวมถึงการทำไร่ในที่สูง ปมปัญหาที่แท้จริงก็คือ รัฐบาลยังไม่เคยมีมาตรการระยะยาวอย่างยั่งยืนเพื่อเปลี่ยนการผลิตที่ไม่ยั่งยืนบนพื้นที่สูงให้เป็นการเกษตรที่ยั่งยืน เพราะติดปัญหาระเบียบข้อกฎหมายและเจตจำนงของราชการเอง

ข้อเสนอ

ให้รัฐบาลเร่งรัดทุกมาตรการเปลี่ยนการเผาภาคเกษตรให้เป็นวิธีการอื่นที่ยั่งยืน โดยขอให้เกิด มาตรการเชิงรุกกำหนดเป้าหมายโซนนิ่งเกิดพื้นที่นิเวศเกษตรยั่งยืน รับรองสิทธิเกษตรกรให้ปลูกพืชผลยืนต้น ปลอดการใช้ไฟ โดยกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณให้ชัดเจน และให้เกิดการดำเนินการร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นได้ ภายในปีงบประมาณ 2564 กรณีการเผาในพื้นราบ ส่วนใหญ่เป็นการเผาที่สามารถจัดการได้ กรณียังไม่สามารถ ใช้วิธีอื่นทดแทน เช่น ไร่อ้อยในสัดส่วนที่ยังจำเป็นต้องเผา ให้มีมาตรการบริหารจัดการไม่ให้เผาแปลงใหญ่ ไม่ให้เผาข้ามคืน โดยให้เสร็จสิ้นภายในเวลากำหนด

4.
กระจายอำนาจร่วมจัดการไฟให้ชุมชนและท้องถิ่น

ข้อปัญหา – หนึ่งในมาตรการหลักตามวาระแห่งชาติคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยมอบอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด Single Command ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2560 ซึ่งมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ที่ผ่านมาแต่ละจังหวัดภาคเหนือดำเนินการในรายละเอียดแตกต่างกันไปตาม นโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดตน บ้างเน้นที่บริหารจัดการเชื้อเพลิงและเพิ่มประสิทธิภาพดับไฟ บ้างเน้นที่ ชิงบริหารเชื้อเพลิงและการห้ามเผาเด็ดขาดตามห้วงเวลากำหนด แต่ในภาพรวมก็คือ อำนาจนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อเกิด มีปัญหาพิบัติภัย จึงมีอำนาจระยะสั้นเฉพาะช่วงฤดูวิกฤต ขณะที่ระหว่างปีอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดข้ามไปก้าวก่าย หน่วยงานอื่นได้ยาก โดยเฉพาะเขตพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งมีกฎหมายของตนเอง นอกจากนั้นเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร จัดการเชิงพื้นที่ตามวาระแห่งชาติไม่ให้บทบาทของท้องที่ชุมชนหมู่บ้านและองค์กรปกครองท้องถิ่นมากนัก ถึงแม้ว่า จะมีการถ่ายโอนภารกิจของกรมป่าไม้ให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มีพื้นที่ติดป่าสงวนแห่งชาติแล้วแต่ในทางปฏิบัติ องค์กรท้องถิ่นยังไม่สามารถดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาได้

ข้อเสนอ

ดังนั้นเพื่อให้เกิดกระบวนการเพิ่มบทบาทของชุมชนท้องที่และท้องถิ่น ในการร่วมออกแบบ วางแผน กำหนดมาตรการระดับพื้นที่สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมีงบประมาณสนับสนุนด้วย นอกจากจะมีกลไกแก้ปัญหาที่ทำงานกับชุมชนทั้งปีแล้ว ยังเกิดมีประสิทธิภาพระหว่างการบูรณาการระหว่างชุมชน และท้องถิ่นกับผู้ว่าราชการจังหวัดในช่วงเผชิญเหตุในช่วงฤดูไฟ และมีการเสนอให้แต่ละจังหวัดมีการดำเนินการ พื้นที่ต้นแบบชุมชนนำร่องที่เป็นต้นแบบแต่ละจังหวัด ครอบคลุมทั่วภาคเหนือ เพื่อความยั่งยืนและขยายผล ในอนาคตต่อไป

5.
เร่งรัดนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ทุกจังหวัดอย่างทั่วถึง เท่าเทียม

ข้อปัญหา –ระยะ 2-3 ปีมานี้มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหลายประการที่รัฐและหน่วยงาน ทางวิชาการนำมาช่วยบริหารจัดการแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควันไฟ ทั้งเทคโนโลยีดาวเทียม โดรนและอากาศยาน โมเดลพยากรณ์อากาศ แอปพลิเคชันช่วยจัดการด้านต่าง ๆ กลุ่มสื่อสารสั่งการ รวมถึงข้อเสนอใช้นวัตกรรมลดฝุ่น เช่น หอฟอกอากาศ ฯลฯ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยบริหารจัดการ และให้ประชาชนเกิดความรับรู้ข้อมูลข่าวสารพิบัติภัย ยังไม่ครอบคลุม และยังจํากัดอยู่เฉพาะจังหวัดใหญ่ เช่น การสร้างแอปพลิเคชันแสดงค่าอากาศเฉพาะเชียงใหม่ หรือ เชียงราย เมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาได้เริ่มรายงานสภาพอากาศที่มีผลต่อวิกฤตฝุ่นควัน เช่น รายงานการยกตัวของอากาศ mixing height /แรงลม/และระดับการระบายอากาศ Ventilation Rate แต่ก็ยังรายงานเฉพาะเมืองใหญ่ ในภาคเหนือ รายงานเพียงจังหวัดเชียงใหม่จังหวัดเดียว เช่นเดียวกับการนำเทคโนโลยีโมเดลพยากรณ์อากาศ มาใช้เพื่อบริหาร จัดการไฟ มีระบบวอร์รูม มีจอแสดงสภาพอากาศ ทิศทางลมอย่างเป็นปัจจุบัน แต่เทคโนโลยีที่กล่าวถึง ไม่มีใช้ครอบคลุมอย่างทั่วถึงทุกจังหวัด

ข้อเสนอ

สภาลมหายใจภาคเหนือเสนอให้หน่วยงานรัฐใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ กว้างขวางและครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม และให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในการรับรู้ข้อมูลสภาพการณ์ ระหว่างที่เกิดปัญหามลพิษอากาศอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และสะดวกโดยตั้งศูนย์ข้อมูลสารสนเทศมลพิษฝุ่นควันไฟ และระบบสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกระดับจังหวัด และให้มีการตั้งวอร์รูมบัญชาการสถานการณ์ระดับจังหวัด ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ทราบข้อมูลดาวเทียม สภาวะอากาศและการสื่อสารสั่งการที่ทันสมัย รวมถึงเกิดการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มาจากผลการวิจัย การริเริ่มแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงนวัตกรรมมาใช้ให้แพร่หลาย โดยสร้างกลไกความร่วมมือกับภาควิชาการและมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือรวมถึงชุมชนประชาสังคมตามความ ต้องการของแต่ละพื้นที่

6.
เร่งกระบวนการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนเชิงรุก

ข้อปัญหา – เนื่องจากปัญหาที่เกิดจากพื้นที่เกษตรอุตสาหกรรม (Trans-boundary Externality) เป็นปัญหาใหญ่และสร้างฝุ่นควันให้กับภาคเหนือ การเกิดผลกระทบจากภายนอกข้ามพรมแดนส่งผลต่อ ระดับคุณภาพอากาศของจังหวัดที่มีชายแดนต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน และยังไม่มีการวิจัยทางวิชาการ ว่ามลพิษดังกล่าวกระทบต่อจังหวัดอื่น ๆ ในวงกว้างในลักษณะใดบ้าง ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามบอกว่า มีการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านในระดับต่าง ๆ ซึ่งแทบไม่ได้ผลคืบหน้าใด ๆ ในทางปฏิบัติ บทเรียนการเกิด มลพิษข้ามแดนจากประเทศอินโดนีเซียข้ามมายังประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ใช้กลไกทางการ ทูตหลายระดับยังไม่ประสบผลสำเร็จจนกระทั่งต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย ฟ้องร้องเอาผิดผู้ก่อมลพิษควบคู่ไป ด้วย

ข้อเสนอ

ส่งเสริมการประสานงานระหว่างประชาชนกับประชาชนควบคู่การเจรจาระหว่างหน่วยงานรัฐ ส่งเสริมโครงการการเปลี่ยนอาชีพและรับซื้อผลผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่พรมแดนตลอดถึงสินค้า ข้ามแดน และพิจารณาเตรียมศึกษาและนำมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุนที่กระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เป็นมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติม

7.
ส่งเสริมสิทธิทางกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชน

ข้อปัญหา –การได้รับอากาศที่สะอาดเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงจะได้รับจากการปกป้องของภาครัฐ ที่จะสามารถบริหารจัดการได้ หลักการข้อนี้เป็นหลักพื้นฐานที่รัฐควรส่งเสริมให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวางและเกิดสภาพปฏิบัติจริงในทุกระดับ

ข้อเสนอ

ให้มีการประกาศหลักปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ เพื่อรับรองสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชน เกิดขึ้นและใช้ปฏิบัติจริง

8.
สุขภาพของประชาชนต้องมาก่อน

ข้อปัญหา – ส่วนใหญ่ของมาตรการรัฐบาลเน้นไปที่การดับไฟ ให้น้ำหนักกับการป้องกันตนเอง และรักษา สุขภาพของประชาชนน้อยอย่างเห็นได้ชัด ทุก ๆ ปีมีงบประมาณรณรงค์ที่ไม่ได้ลงลึกและเน้นย้ำจริงจัง หรือแค่ มีหน้ากากแจกจำนวนหนึ่งเท่านั้นซึ่งไม่ใช่หน้ากากที่กันฝุ่น PM2.5ได้ระหว่างที่คุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐาน คำเตือนของรัฐยังไม่มีผลต่อสำนึกและการปฏิบัติตัวของประชาชน

ข้อเสนอ

ให้รณรงค์ความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชนเป้าหมายตลอดทั้งปี ใช้ข้อมูลด้านสุขภาพต่อคนในชุมชน โดยเฉพาะผลกระทบด้านการพัฒนาการของเด็กเล็กให้มีมาตรการเชิงรุกตั้งแต่ต้นปีก่อนฤดูฝุ่นควันไฟ ให้มีการตั้ง ห้องปลอดภัยติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ และแจกจ่ายหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ศูนย์เด็กเล็ก และมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง เพื่อให้กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ปลอดภัยจากฝุ่นควัน เกินมาตรฐานครอบคลุมทุกพื้นที่ภาคเหนือที่มีค่ามลพิษเกินมาตรฐาน รวมถึงแนวทางหยุดเรียนหรือหยุดงาน กลางแจ้ง กรณีค่าฝุ่นควันเกินมาตรฐาน ให้เป็นข้อปฏิบัติอย่างครอบคลุม

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ