กลับบ้านอย่างไรให้ไปรอด : How to return home?

กลับบ้านอย่างไรให้ไปรอด : How to return home?

ในยุคโควิดเชื่อว่าหลายคนคงคิดถึงบ้าน  ยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนโหยหาความมั่นคงในชีวิต และความมั่นคงอย่างที่ว่าอาจไม่ใช่แค่เรื่องเงินอีกต่อไป  หากแต่มันคือความมั่นคงในทุกด้าน  ทั้งเรื่องอาหาร  อากาศ  และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ  ที่ต้องเสิร์ฟทุกคนให้รู้สึกว่ามีความปลอดภัย

“กลับบ้านอย่างไรให้ไปรอด”  หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ  How to return home  คือหนึ่งเรื่องในชื่อตอนของรายการ Localist ชีวิตนอกกรุง  ซึ่งเราพยายามตั้งโจทย์ว่า  หากมีใครสักคนอยากกลับบ้านเพื่อมาอยู่ในถิ่นที่ตนเองอยากอยู่เพื่อให้รู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นคงในชีวิต  ให้รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความเสี่ยง  เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจแย่  เนื่องจากหลายอย่างหยุดชะงักเพราะยุ่งๆ กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 โอกาสที่นายจ้างจะเลิกจ้างและโอกาสที่ห้างร้านหรือธุรกิจอื่น ๆ จะล้มอย่างเทกระจาดนั้นมีสูงมาก ดังนั้น การกลับมาอยู่บ้านหรือการหวนคืนเพื่อดูทุนรอบกายในแต่ละท้องถิ่นจึงเป็นเทรนด์ที่มาแรงโดยเงื่อนไขที่จำเป็น

แต่คำถามใหญ่คือ แล้วถ้ากลับบ้านจริงจะมาทำอะไรล่ะ? นี่เองจึงเป็นคำถามที่เราต้องออกไปหาคำตอบ ซึ่งในที่สุดจากการค้นหาข้อมูลและพูดคุยกับคนโน้นคนนี้ เราก็เลยมีคนมาตอบคำถาม 3 คน ซึ่งก็กลายเป็นตัวละครหลักในรายการตอนนี้คน

พี่แสบ  หรือ  ปิ่นทอง รักเนตร  คือคนแรกที่เราลงพื้นที่ไปเจอ เขาคือชายหนุ่มที่เกิดและเป็นวัยรุ่นอยู่ที่บ้านคันท่าเกวียน  ต.นาโพธิ์กลาง  อ.โขงเจียม  จ.อุบลราชธานี  และหลังจากเรียนจบ ม.6 เขาก็ตัดสินใจเดินทางจากบ้านเกิดเข้า กทม.ด้วยวัยเพียง 18 ปี กระทั่งรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลา 20 ปีเต็มที่เขาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ  ซึ่งนับเป็นเวลาที่มากกว่าช่วงวัยที่เขาใช้ชีวิตในหมู่บ้าน  และพอถึงจังหวะนี้แสบจึงคิดว่าเขาควรกลับบ้านได้แล้ว  เพราะเวลาที่ใช้นอกบ้านนั้นมากเกินไปแล้ว  และแม่คือเป้าหมายของเขา  เขาต้องกลับมาหาแม่  และเริ่มมาสร้างอะไรสักอย่างเพื่อรองรับชีวิตตัวเองในอนาคต

“เข้ากรุงเทพฯ ก็ไปทำงานโรงงานทั้งหมดเกือบ 20 โรงงาน  และมีรายได้ค่อนข้างดีจนตั้งหลักได้  แต่ก็อย่างว่าคนเรามันมีเป้าหมายและมีความคิดที่เปลี่ยนไปตลอด  ผมจึงตัดสินใจกลับบ้าน  กลับมาช่วงแรกก็เริ่มมาปลูกไม้ยืนต้น  และเปลี่ยนพื้นที่ของแม่ซึ่งส่วนมากเป็นพื้นที่ปลูกมะม่วงหิมพานต์  โดยที่ไม่มีที่ทำนาเลย  ทั้งๆ ที่แม่ก็พอมีที่อยู่  จึงคิดว่าคนเราต้องมีข้าวกิน  ก็เลยตัดสินใจปรับเป็นที่นา  และค่อยๆปลูกต้นไม้ผลอื่นๆ  และซื้อวัวมาเลี้ยง  ผมโชคดีที่มีเงินก้อนจากการจ้างออกของบริษัทและมีเงินเก็บซึ่งเป็นสวัสดิการที่บริษัทจัดการให้ก็เลยมีเงินประมาณ 1 ล้านบาท  ตอนนี้กลับบ้านมาประมาณ 2 ปี  ก็ลงทุนไปเยอะพอสมควรและนำเงินก้อนที่ได้มาลงทุน  จึงทำให้อยู่ได้และคาดว่าอนาคตสิ่งที่ลงทุนก็คงจะผลิดอกออกผลให้ผมมีความมั่นคงมากขึ้น” 

พี่แสบเล่าให้ฟังถึงการตั้งหลักอยู่บ้าน  ซึ่งนับว่าโชคดีที่เขามีเงินก้อนและเงินเก็บจากการทำงาน  แต่เขาก็ต้องนำมาลงทุนเพื่อต่อยอดชีวิตให้ได้  ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเขาใช้เงินเก็บอย่างเดียวโดยที่ไม่ลงมือทำอะไรเลย  เงินที่มีอยู่ก็คงร่อยหรอลงทุกวัน  และเป็นจังหวะดีที่การเริ่มต้นของเขามีโครงการจากหน่วยงานรัฐอย่างโครงการโคก หนอง นา โมเดล  เข้ามาพอดี  และมีน้องนักพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ  ซึ่งเป็นเจ้าหน้าจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจัดสรรลงพื้นที่มาให้คำปรึกษา  จึงทำให้พี่แสบอุ่นใจในการลงมือและลงทุนอย่างรอบคอบและมีระบบมากขึ้น

จากพี่แสบพวกเราลงพื้นที่ไปหาพี่ยาว หรือ สากล  พรมวัน  ที่ อ.สำโรง  จ.อุบลราชธานี  อดีตนิสิตคณะเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  แต่เป็นที่น่าแปลกว่า  หลังเรียนจบพี่ยาวยังไม่เคยลงมือทำเกษตรอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย  หากแต่พี่ยาวเลือกที่จะเดินทางไปในอาชีพอื่นและมีชีวิตอยู่เมืองใหญ่หลายปีและทำธุรกิจหลายอย่าง  ทั้งการขายปุ๋ย  เปิดร้านกาแฟ  ร้านขายโทรศัพท์  และก็เหมือนกับพี่แสบคือ  เมื่อถึงวันหนึ่งเขาก็คิดถึงบ้าน  อยากกลับมาอยู่บ้าน  เพราะอิ่มกับเมืองใหญ่  กระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน  พี่ยาวตัดสินใจกลับบ้านด้วยประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย  แต่มีอย่างเดียวที่ขาดคือประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการทำเกษตรซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเมื่อมาอยู่บ้าน 

“เรากลับมาอยู่บ้าน  เราเข้าใจเลยว่าการลงมือทำเกษตรมันยากมาก  ทั้งๆที่เราเรียนมา  แต่เรายังไม่เคยใช้  จะจับหยิบอะไรก็ไม่คุ้นมือ  ช่วงแรกจะต่อท่อประปายังไม่เป็นเลย”  นี่คือคำที่พี่ยาวเล่าให้ฟังถึงช่วงแรกที่กลับมาอยู่บ้าน 

อย่างไรก็ตามด้วยทุนเดิมที่มีเกี่ยวกับความรู้ในเรื่องการทำเกษตรซึ่งมีทฤษฎีเป็นฐาน  จึงทำให้พี่ยาวรื้อฟื้นความทรงจำไม่ยาก  จนวันนี้ในพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ของพี่ยาว  เริ่มมีดอกผลจากพืชผักที่ลงมือและเริ่มได้ขายแล้ว  และก็เช่นเดียวกับพี่แสบคือพี่ยาวได้เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่  ซึ่งเป็นงานที่สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดรับผิดชอบ  ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ซึ่งพี่แสบมีตำแหน่งเป็นพนักงานในโครงการ  โดยมีวาระการทำงานประมาณ 1 ปี  ด้วยค่าตอบแทนเดือนละ 9,000 บาท  เงินค่าตอบแทนอาจไม่ใช่คำตอบที่พี่ยาวอยากได้  แต่องค์ความรู้และเครือข่ายคือสิ่งที่พี่ยาวได้รับเต็มๆ  เพราะพี่ยาวบอกว่าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพี่ๆ น้องๆ ที่เข้าร่วมโครงการด้วยกัน  ด้วยความที่ห่างบ้านไปนาน  ดังนั้นการเชื่อมต่อกับคนแม้จะอยู่ในชุมชนเดียวกันก็นับเป็นเรื่องยาก  ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นเสมือนฟันเฟืองที่เข้ามากระตุ้นให้เกิดกลุ่มและเชื่อมเครือข่ายหรือผู้รู้ในท้องถิ่นมากมาย  นับเป็นการย่นเวลาการตั้งหลักเพื่ออยู่บ้านให้ได้อย่างเข้มแข็งของพี่แสบมากทีเดียว

คนสุดท้ายที่เราไปหาคือ  นุช  หรือ  นุชนาฏ  สว่างแก้ว  สาวแกร่งจาก อ.โขงเจียม  จ.อุบลราชธานี  นุชไม่เคยไปทำงานต่างจังหวัดและเมืองใหญ่  แต่หลังจากเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  เธอก็เลือกที่จะอยู่บ้าน  เพราะนุชตั้งใจไว้แต่ต้นแล้วว่า  หลังจากเรียนจบเธอจะกลับมาอยู่บ้านทันทีด้วยภารกิจที่หลากหลายซึ่งเธอนับว่าเป็นเสาหลักที่ต้องดูแลแม่  ที่สำคัญเธอต้องอยู่บ้านในฐานะนักปกป้องสิทธิชุมชน เนื่องจากที่ดินทำกินบางส่วนอยู่ในระหว่างการพิพาทกับอุทยาน  ดังนั้นเธอจึงมีแรงขับในส่วนนี้พอสมควร

นุชกลับมาที่บ้านและมองหาโอกาสที่จะเริ่มต้นหลังเรียนจบปริญญา  เพราะนอกจากทำนาและกรีดยางแล้ว  นุชคิดว่าเธอต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตั้งกลุ่มชุมชนให้เกาะเกี่ยวกันให้ได้  เพื่อการร่วมกันปกป้องสิทธิ์ในที่ดินทำกิน  ซึ่งการเป็นนักต่อสู้จำเป็นต้องรวมชาวบ้านเพื่อให้เกิดการทำงานเป็นทีมและมีฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง  และแล้วนุชก็ลงเอยด้วยการตั้งกลุ่มเพาะเห็ดในหมู่บ้าน  ซึ่งอาศัยความรู้จากการแสวงหามาทำอาชีพนี้ เพราะเธอไม่เคยทำมาก่อน แต่ในฐานะหัวหน้าคนก่อตั้งเธอจึงมีความจำเป็นต้องแสดงฝีมือ กระทั่งเวลาผ่านไปปีกว่าๆ กลุ่มเพาะเห็ดเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มีเห็ดเกิดให้ได้ขายและการตลาดก็เริ่มไปได้ดี กระทั่งเจอกับปัญหาโควิดที่ชาวบ้านอย่างนุชก็ได้รับผลกระทบ  เพราะตลาดในละแวกชุมชนปิด ซึ่งเป็นการลดช่องทางของรายได้

ในจังหวะที่ได้รับผลกระทบจากโควิดนี้เอง นุชมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการอาสาคืนถิ่น  ซึ่งเป็นโครงการที่รับผิดชอบโดยองค์กรพัฒนาเอกชนอย่างมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) แม้โครงการนี้จะไม่ได้ช่วยเธอในงานด้านการตลาดโดยตรง  แต่ก็ถือว่าเป็นโครงการที่เข้ามาถูกจังหวะ  เพราะในช่วงที่นุชเคว้งคว้างกับทิศทางและอนาคตของกลุ่มว่าจะเดินทางไปในลู่ไหน  การได้เข้าร่วมกระบวนการที่มีการออกแบบกิจกรรมและเจอะเจอเพื่อนๆ ที่หลากหลายอาชีพและพื้นถิ่น  ที่มีเครื่องมือให้เธอคิดและจัดระบบความรู้เพื่อนำไปจัดการกลุ่มในหมู่บ้านจึงนับว่าเป็นโอกาสทองที่ทำให้นุชเปิดโลกทัศน์เป็นอย่างมาก

“เมื่อก่อนยอมรับว่าตัวเองเป็นคนมองโลกค่อนข้างลบ  ไม่ไว้ใจคนอื่น  มีความเป็นตัวตนสูง  กระทั่งตอนสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ก็ยังลังเลว่า  โครงการนี้จะจริงใจต่อเราไหม  กระทั่งได้เข้าร่วมกระบวนการจึงได้เข้าใจว่า  จริงๆ แล้วในสังคมเรา  ยังมีเรื่องราว  ความรู้ที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย  และการได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  ที่เป็นอาสาคืนถิ่นด้วยกัน  ซึ่งทุกคนมีมุมมอง  ทักษะ  ความรู้และประสบการณ์เฉพาะทางที่หลากหลาย  มันจึงทำให้เรารู้ว่า  ในสังคมยังมีคนพร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมกันถักทอเป็นเครือข่าย  ซึ่งทำให้เรารู้สึกเติบโตไปอีกขั้น  และสามารถนำประสบการณ์และความรู้มาประยุกต์ใช้ในการทำกิจกรรมในชุมชนได้เยอะมาก”  ความในใจที่นุชเล่าให้ฟังได้จากผ่านเข้าร่วมกระบวนการกับโครงการอาสาคืนถิ่น

เรื่องเล่าจากเรื่องราวของคน 3 คน  กับคำถามคือ “กลับบ้านอย่างไรให้ไปรอด?” หวังว่าคงมีคำตอบคร่าวๆให้ทุกท่านได้นำไปเป็นบทเรียน  อย่างน้อยก็คงจะเพิ่มความมั่นใจให้คนที่ตัดสินใจกลับบ้านไม่โดดเดี่ยว  ซึ่งจุดสำคัญที่เราเห็นคือ  คือการกลับบ้านของทั้ง 3 คน  เป็นการกลับบ้านที่มีแผนงานและขั้นตอน  รวมถึงการมีพี่เลี้ยงและเครือข่าย  ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลย  เพราะการกลับมาตั้งลำและการเดินทางสู่อนาคตเราไม่สามารถก้มหน้าก้มตาทำและอยู่คนเดียว หากแต่จำเป็นต้องเงยหน้าหาทักษะ  ความรู้และโอกาสจากคนรอบข้าง  ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงให้เกิดการแบ่งปันทุกสิ่งอย่างต่อกันและกัน  นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ