ประสบการณ์จาก สุภารัตน์ พระโนเรศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ซึ่งถูกส่งไปเป็นเจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนที่ INSEC: Informal Sector Service Center องค์กรด้านสิทธิ์เก่าแก่ที่เนปาลเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ก่อนจะถึงเวลาเดินทางกลับในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เธอได้กลายเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาล จนกระทั่งได้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยเมื่อไม่นานมานี้
ต่อไปนี้คือคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์วิกฤติและบทเรียนแสนพิเศษ ที่หนึ่งในคนไทยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลได้รับ…
เวลาประมาณ 11.45 นาฬิกา ของวันที่ 25 เมษายน 2558 ขนาด 7.9 แมกนิจูด ซึ่งมีแผนไปเยี่ยมเพื่อนที่เมืองปาตันซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 30 นาที แต่พอเดินออกจากบ้านประมาณ 2 นาที ก็ได้ยินเสียงร้องของผู้คนแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมๆ กับเสียงดังบึ้มๆ และมีคนวิ่งหนีกันเยอะมากเหมือนในหนังเลย
ตอนแรกข้าพเจ้า วิ่งไปหลบใต้ตึก เพราะนึกว่าเกิดระเบิดพลีชีพหรือการปล้นกันเกิดขึ้น เพราะเนปาลยังมีความไม่สงบทางการเมือง แต่เมื่อรู้สึกตัวโคลงเคลงยืนตรงไม่ได้ก็คิดได้ว่าแผ่นดินไหวแน่นอน ดังนั้นจึงคิดหาที่โล่งหลบ แต่เพียงแค่คิดเท่านั้นก็หกล้มลงอย่างไม่เป็นท่าไม่สามารถวิ่งได้อย่างใจคิด และเกิดความกลัวอย่างมาก นึกถึงหน้าพ่อแม่ คนรัก ครูบาอาจารย์ ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย แต่ยังมีสติและรีบวิ่งไปช่วยเหลือคนที่วิ่งออกมาจากบ้านเรือน เอายาหม่องให้คนที่ตกใจจนเป็นลม ก็บอกให้เขาหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ ผ่อนคลาย บางคนที่กระโดดจากบ้านก็หลังเคล็ด หลายคนแขนหัก หัวแตกเพราะข้าวของหล่นทับ
ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันเพราะเกรงว่าเข้าบ้านจะไม่ปลอดภัย ก็มีเสียงสวดมนต์ว่า นารายณ์ นารายณ์ อยู่ตลอดเวลา สลับกับเสียงร้องไห้ของผู้คนที่ระงมเซ็งแซ่ไปทั่วอย่างหดหู่ ทุกคนต่างตื่นอยู่ในภาวะตระหนกเพราะมีอาฟเตอร์ช็อกมาเรื่อยๆ และแต่ละครั้งก็มีความรุนแรงไม่น้อย ต่างคนต่างจับมือกันไว้เพื่อยึดกันและกันไม่ให้ล้มลงไปและจับสังเกตนกต่างๆ ที่เกาะตามต้นไม้หรือสายไฟ ถ้านกเหล่านั้นบินและส่งเสียงดัง นั่นหมายถึงว่าแผ่นดินจะไหวอีกไม่ถึงหนึ่งนาที
เราต้องเกาะกลุ่มกันไว้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 4 ชั่วโมงเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา และไม่สามรถทำอะไรได้ และได้แต่เฝ้ามองผู้คนที่วิ่งนำผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลที่มีหมอแค่เพียง 3 คน มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับชีวิตผู้คนอย่างมาก
ท่ามกลางความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นนั้น หลายคนอยากกลับไปบ้าน แต่หลายคนก็ไม่กลับเพราะความกลัวมันมากกว่า แม้ว่าจะห่วงทรัพย์สิน ญาติพี่น้อง มันทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงคำสอนของอาจารย์กาญจนา ปุณเญสิ ที่ว่า “แม้เกิดมาวินาทีเดียวก็เป็นทุกข์” ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่าเราต้องฝึกปฏิบัติให้จงหนักเพื่อเผยแพร่คำสอน ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อถึงพระนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก และไม่ต้องการมีบุตรเพราะจะเป็นห่วงในการสร้างความผูกพัน ทำให้ไม่สามารถรับใช้พระศาสนาได้อย่างเต็มที่
บทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ การ ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราประพฤติตัวดีอย่างเพียงพอหรือยัง มีจิตในการเสียสละสูงสุดหรือยัง การให้ทาน กล้าเสียสละสิ่งของให้ผู้อื่นที่เดือดร้อนจริงมากน้อยขนาดไหน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งใจที่จะทำความดีในทุกๆ วัน เสียสละเท่าที่จะทำได้ อย่าอาฆาตมาดร้ายผู้อื่น ไม่ผูกใจเจ็บต่อผู้คน และตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้เต็มที่
เพราะในชีวิตคนเรานั้นไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนเมื่อไหร่ ถ้าเราทำความดีให้ถึงพร้อมก็จะได้ไม่เสียดายโอกาสที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามบุญวาสนาที่มีครูบาอาจารย์ คือ อาจารย์กาญจนา ปุณเญสิ และกัลยาณมิตรในทางธรรมทั้งหลายตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างแน่นหนักว่า “เกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าจักกลัวอะไร” และจะน้อมปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้แนวทางไว้ และมีครูอาจารย์ที่มีเมตตาในการอบรมสั่งสอนมา