ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อชาวนาต้องปรับตัวมาเป็นผู้ประกอบการ สินค้าที่มีชื่ออาจไม่คุ้นหู เช่น ข้าวเกรียบอินทรีย์ และตูเล่ย์หมาบก คือผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแปรรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโนนยาง ตำบลกำแมด อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร วิสาหกิจชุมชนโนนยาง นับเป็นความก้าวหน้าของวิถีชุมชนยุคใหม่ ที่มีการปรับเปลี่ยนวิถีเพื่อปรับตัวกับสังคมที่เปลี่ยนไป เป็นการปรับตัวที่เกิดจากการขบคิด พูดคุย และตกผลึกแล้วว่าการทำเกษตรยั่งยืนต้องทำไปพร้อมกับการเป็นผู้ประกอบการที่มองเรื่องการตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตที่มีคุณค่าอย่างข้าวอินทรีย์หลากหลายสายพันธุ์ที่สมาชิกกลุ่มช่วยกันผลิต
“หลังจากแยกออกมามาจากกลุ่มชุมชนบ้านนาโส่ประมาณปี 2551 เพื่อจะมากระจายพื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ปฏิรูปที่ดินตามนโยบายของหน่วยงานรัฐ ซึ่งปัจจุบันเรามีกลุ่มสมาชิกประมาณ 138 คน ที่กระจายกันอยู่ในหลายอำเภอ ไม่ว่าจะเป็น อ.กุดชุม ป่าติ้ว เลิงนกทา และ อ.เมือง จ.ยโสธร” พ่อบุญส่ง มาตขาว ผู้ก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโนนยาง เล่าให้ฟังถึงที่มาของการก่อตั้งกลุ่ม ที่เมื่อก่อนเคยเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกกลุ่มนาโส่ที่ทำเรื่องข้าวอินทรีย์มาก่อนหน้านี้ และต่อมาได้แยกออกมาบริหารจัดการเองและขยายเครือข่ายผู้ผลิตเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการทำเกษตรทางเลือกร่วมกัน
ความโดดเด่น นอกจากจะเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ทำข้าวอินทรีย์ที่เข้มแข็งแล้ว การทำการตลาด การจัดการข้อมูล และที่สำคัญการแปรรูปถือเป็นจุดแข็งของที่นี่ ซึ่งไม่ได้เน้นการทำข้าวอินทรีย์ เพื่อขายข้าวเปลือก แต่คือการทำข้าวสาร ที่มีแพ๊กเก๊จสวยงาม พร้อมมีโลโก้การันตีให้มีความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และข้าวพื้นบ้านสายพันธุ์อื่นๆ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ดอกข้าว” ทั้งหมดนี้คือสินค้าที่พร้อมนำส่ง ซึ่งพ่อบุญส่งเล่าให้ฟังว่า กระบวนการทำงานต้องมีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว การเก็บหรือสต๊อกข้าว การแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร และการแปรรูปจากข้าวสารเป็นผลิตภัณฑ์สินค้า ซึ่งเหล่านี้ถือว่ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนโนนบางมีความโดเด่นมากๆ
นอกจากจะมีข้าวสารที่แพ็กเก๊จพร้อมขายแล้ว ที่เห็นขนมแผ่นวงกลม และชาวบ้านกำลังตาก พร้อมนำมาวางเรียงราย นี่คือขนม “ข้าวเกรียบว่าว” ที่ทำจากข้าวอินทรีย์ และสินค้าแปรรูปอีกหนึ่งชนิดที่สำคัญของกลุ่มคือ “ตูเล่ย์หมากบก” ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตผลอันเกิดจากการแปรรูปข้าวให้กลายเป็นขนมที่น่ารับประทาน โดยขนมชนิดนี้มีส่วนผสมหลักจากแป้งข้าวเหนียว และเม็ดกระบก ซึ่งชาวบ้านให้ฉายาว่าเป็นอัลมอนด์อีสาน เนื่องจากกระบกเป็นพืชท้องถิ่นมีรสชาติคล้ายถั่วอัลมอนต์ โดยมีขั้นตอนในการทำคือ บดข้าวให้ละเอียด จากนั้นนำข้าวที่ละเอียดเหลวมาทำเป็นแผ่นวงกลมเล็กๆ แล้วนำลูกกระบกมาหยอดลงตรงกลางแผ่นขนม และนำไปอบในตู้อบที่มีอุณภูมิพอเหมาะ จากนั้นก็นำมาบรรจุภัณฑ์เพื่อเตรียมส่ง ซึ่งปัจจุบันกลุ่มได้ทำการตลาดจนสามารถนำขนมชนิดนี้ไปอยู่ในร้านกาแฟหรูหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดยโสธรและพื้นที่ใกล้เคียง “เริ่มแรกมันไม่ใช่ตูเล่ย์หมากบก แต่มันคือขนมตูเลย์ธรรมดาที่เราดัดแปลงมาจากขนมเบื้องของฝรั่งเศส โดยมีอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาส่งเสริมให้รู้วิธีการแปรรูป จนต่อมาเราพัฒนาสินค้าให้มีความเป็นเฉพาะในพื้นที่อีสาน และคิดได้ว่าเรามี “หมากกระบก” หรือ กระบก ซึ่งเป็นผลไม้ที่อยู่ตามป่าในภาคอีสานและมีรสชาติคล้ายอัลมอล เราจึงคิดว่ามันอาจเป็นจุดขาย ดังนั้น เราจึงลองเอาเม็ดกระบกมายอดใส่ตรงกลางแผ่นขนม ปรากฎว่ามันพอไปได้ก็เลยกลายเป็นขนมตูเลย์หมากบกที่เป็นอีกหนึ่งชนิดสินค้าของกลุ่มเรา” ต่อง หรือ สุประวีณ์ มาตขาว แกนนำหลักในการแปรรูปและทำการตลาดขนมตูเล่ย์หมากบกเล่าให้ฟังถึงที่มาของสินค้าชนิดนี้
สิ่งที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้ของสินค้าแต่ละอย่างของที่นี่ คือการทำแบรนด์ของสินค้าแต่ละชนิด ซึ่งสังเกตว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญอย่างมาก ที่เรามองว่าเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ผู้ประกอบการอย่างกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโนนยางมีความโดดเด่น เพราะอย่าลืมว่าภาพลักษณ์หรือแบรนด์คือภาพจำที่ทำให้คนอื่นเข้าถึงได้ง่าย และนี่ก็เป็นความจำเป็นของชาวนาหรือผู้ผลิตยุคใหม่ที่ควรให้ความสำคัญ เพราะที่ผ่านมาแม้เราจะเห็นการรวมกลุ่มในหลายแห่ง แต่ก็เป็นลักษณะการรวมกลุ่มแบบบ้านๆ ที่ไม่ได้เข้าใจเทรนด์ของการตลาดหรือการประชาสัมพันธ์ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่สินค้าจากกลุ่มทั้ง 3 อย่าง จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโนนยางจะมีแบรนด์ที่โดดเด่น ซึ่งก็พ่วงมาพร้อมกับการทำการตลาด และตลาดที่สำคัญของกลุ่มคือตลาดออนไลน์ โดยมีเพจเป็นหน้าร้าน
แน่นอนครับว่า ความเป็นอุดมการณ์ชาวนานั้นยังไงก็ไม่หลุดหาย แต่การเป็นผู้ประกอบการในยุคปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เหมือนอย่างวิสาหกิจชุมชนโนนยาง จากจุดเริ่มต้นที่ทำเกษตรอินทรีย์ จนวันนี้มาเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ ซึ่งเป็นการเอาความรู้ที่มีอยู่ในชุมชน มาปรับใช้ในการพัฒนากลุ่มวิสาหกิจ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ จนเกิดเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งเหล่านี้คือทางออกอันจะทำให้เกิดความร่วมสมัยและอยู่รอดในท่ามกลางยุคสมัยเช่นปัจจุบัน