“ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันก็เกิด เมื่อเกิดแล้ว เราจึงต้องรับมือ” ทุกคนต่างสรุปบทเรียนเป็นคำพูดเดียวกัน สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อปีที่แล้ว
ผมในฐานะผู้ประสบภัย จำได้ดีกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทุกคนไม่คาดว่ามันจะเกิด แม้เราจะเคยเผชิญกับภาวะน้ำท่วมหนักเมื่อช่วงปี 2521, 2545, 2556 และ 2557 ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าเมืองอุบลราชธานีคือเมืองรับน้ำ และการที่จะเกิดน้ำท่วมจึงอาจเป็นเรื่องปกติ แต่ในทัศนะผมและรวมถึงทุกคนที่ประสบภัยซึ่งเป็นคนอุบลราชธานี เราไม่คิดเช่นนั้นเลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ใช่ภาวะธรรมดาที่ทุกคนจะยอมรับได้
ในมุมมองของผมน้ำท่วมเมื่อช่วงเดือนกันยายน ปี 2562 มีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ อันที่หนึ่งคือสภาพของพื้นที่ทางกายภาพหรือสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสิ่งแวดล้อมในที่นี้ผมหมายรวมถึงสิ่งแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งทั้ง 2 อย่าง มีความลงตัวและสอดรับให้เกิดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดน้ำท่วมต่อกันและกัน
การเกิดขึ้นของพืชเชิงเดี่ยวที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ และพ่วงพร้อมกับการตัดโค่นต้นไม้ ทำให้หน้าดินไม่มีต้นไม้รองรับ ในขณะที่ผืนดินเองก็แห้งไม่อุ้มน้ำ และพอเจอน้ำฝนในปริมาณหนึ่งแม้จะไม่มากเท่าในอดีต แต่เมื่อน้ำไม่มีที่อยู่เพราะหน้าดินก็ไม่อุ้มน้ำ จึงทำให้น้ำไหลลงสู่ลำน้ำตามลุ่มน้ำต่างๆเร็วขึ้น และพอวิเคราะห์ลักษณะลำน้ำแต่ละแห่งก็พบว่า ทุกวันนี้ลำน้ำมีลักษณะตื้นเขินด้วยเพราะแม่น้ำหลายแห่งเกิดการพังทลายของตลิ่ง ที่เป็นเหตุให้น้ำที่ไหลมาจากที่ต่างๆเต็มเร็ว และพอน้ำในลำน้ำเต็มก็เป็นเรื่องปกติที่น้ำจะล้นตลิ่งระบาดเข้าสู่ที่อยู่ของคน
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยคนหรือการพัฒนาในรูปแบบต่างๆทั้งจากภาครัฐและเอกชน ยิ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดน้ำท่วม ทั้งการเกิดขึ้นของห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดอยู่ตามบริเวณพื้นที่รับน้ำเดิมหรือที่เราเรียกกันว่า “พื้นที่ทาม” ซึ่งอดีตเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่คอยรับน้ำจากแม่น้ำในช่วงน้ำหลาก แต่ทุกวันนี้พื้นที่เหล่านั้นหายไปมากกว่าครึ่ง และยิ่งมาเจอกับเขื่อนที่ตั้งขวางทางน้ำในแต่จุดของลำน้ำแต่ละแห่ง ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำ แทนที่ระบบชลประทานจะมาช่วยอำนวยความสะดวกให้น้ำไหลดีหรือเก็บน้ำไว้ใช้ แต่สิ่งที่เราเจอคือมันเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการระบายน้ำ
แต่ก็เอาเถอะ ถึงแม้ว่าที่มาหรือปัญหาน้ำท่วมจะเกิดจากสิ่งใด แต่สิ่งที่เราต้องรีบจัดการคือการรับมือกับภัยพิบัติและช่วยกันฟื้นฟูหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ส่วนที่มาของปัญหาคือการแก้ไขระยะยาวที่ต้องว่ากันอีกที
และนี่เองจึงเป็นที่มาของรายการ Localist ชีวิตนอกกรุง ในชื่อตอน “ภัยพิบัติจัดการตนเอง” ซึ่งผมและทีมงานได้ช่วยกันคลี่เรื่องราวและประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในช่วงที่เผชิญกับน้ำท่วมและช่วงของการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ที่เราได้เดินทางไปในหลายที่ทั้งในเขตพื้นที่เมืองและพื้นที่นอกเมือง
ในหน้าจอจะพูดถึง 3 ส่วนใหญ่ๆ คือการรับมือน้ำท่วมในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ การเยียวยาหลังน้ำลด และการออกแบบการฟื้นฟูในระยะยาว ถึงทั้ง 3 ส่วนล้วนมีเจ้าภาพหลักในการทำงาน แต่น้ำหนักที่เราให้ความสำคัญในการเล่าเรื่องคือการรับมือที่ชาวบ้านต้องจัดการกันเอง เพราะลำพังมัวการสั่งการจากภาครัฐส่วนกลางก็อาจไม่ทันการณ์กับการแก้ปัญหาที่น้ำนั้นมาไวเหลือเกิน
การทำงานในเทปนี้ จะว่าง่ายในเชิงประเด็นก็ใช่ เพราะผมและทีมงานต่างเป็นผู้ประสบภัยในฐานะที่เราเป็นคนนอกกรุงชาวอุบลราชธานี และโดยเฉพาะผมเองซึ่งบ้านเกิดที่ตำบลไร่ใต้ อำเภอพิบูลมังสาหาร โดนน้ำท่วม ดังนั้น ในระหว่างนั้นต้องทำหน้าที่ทั้งในฐานะผู้ประสบภัยที่ต้องรีบอพยพสิ่งของ และการรายงานเหตุการณ์ให้ทุกคนได้รู้ปัญหา รวมถึงการรายงานข้อมูลระดับน้ำทุกวันวันละหลายครั้ง เพื่อให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมกับการรับมือระหว่างวัน ซึ่งยอมรับว่าเหนื่อยมาก และพอหลังน้ำลด เราจึงออกแบบ วางแผน ในการถ่ายทำรายการ ดังนั้นความยากมันจึงอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่การถ่ายทำที่ต้องเล่าเรื่องย้อนหลัง ปัญหาที่ตามมาสำหรับงานสารคดีเช่นนี้ คือแม้จะมีเรื่องเล่า แต่ชุดภาพที่เราจะหยิบมาประกอบเรื่องนั้นหายากเหลือเกิน เพราะด้วยความที่ไม่ได้ออกแบบมาแต่ต้น ดังนั้น การตามหาฟุตเทจจึงเป็นงานหลักของรายการในตอนนี้ ซึ่งนับว่าโชคดีที่มิตรสหายเราหลายคนได้บันทึกเรื่องราวเอาไว้ จึงทำให้เทปมีภาพมาประกอบ ซึ่งมุมภาพอาจดูไม่อลังการแต่เราเน้นความเป็นงานที่เรียลลิตี้ ไม่ได้แก้ตัวนะและเป็นทางออก (อิอิ)
สรุปก็คือ เทปนี้เราก็สนุกกับงานเหมือนเดิม แม้เราจะสูญเสียแต่เราก็ยอมรับ แต่เหนือการยอมรับคือเรามองว่ามันเป็นบทเรียน ที่ทุกคนนั้นไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ในระดับหนึ่งว่า ณ วันนี้สถานการณ์นั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว เราต่างตระหนักว่าสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้น น้ำท่วมจึงเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกปี สิ่งสำคัญคือการตั้งรับ ปรับตัว และรับมือ ในส่วนของการแก้ปัญหานั้น ก็คือการแก้ทั้งระยะใกล้และระยะไกล ในระยะใกล้คือการเตรียมรับมือภัยพิบัติ ในส่วนของระยะไกลคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ทั้งเรื่องการจัดการป่าต้นน้ำ การจัดการระบบนิเวศในการใช้หน้าดิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้ความเข้าใจของคนในการแก้ปัญหาทั้งระบบ
กมล หอมกลิ่น
คนเล่าเรื่องนอกกรุง