วันที่ 9 ส.ค. 2563 นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของและเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง เปิดเผยว่าได้รับจดหมายชี้แจงจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรณีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang dam project) ว่ายังไม่ได้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนหลวงพระบาง ซึ่งก่อนหน้านี้เครือข่าย ฯ ได้มีจดหมายไปยัง กฟผ. เพื่อสอบถาม
นายนิวัฒน์กล่าวว่าหนังสือชี้แจงจาก กฟผ. มีใจความสำคัญระบุว่า ปัจจุบัน กฟผ.ยังไม่ได้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนหลวงพระบาง หากจะมีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนใน สปป.ลาว จะต้องมีกระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติ คือ มีการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-2580 (PDP2018) ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยแผน PDP2018 ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ที่ผ่านมา ครม.มีมติรับทราบแผนดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2562 โดยในแผนระบุว่า มีแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านรวม 3,500 เมกะวัตตต์ ในปี 2569-2578 โดยกระบวนการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการดังกล่าว
โดยคณะอนุกรรมการประสานฯ ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นหน่วยงานหลักในการนำหลักเกณฑ์การพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำใน สปป.ลาวมาพิจารณา และกกพ.ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการจัดหาไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประกอบด้วย กรรมการกำกับกิจการพลังงาน 3 คน ผู้แทนสำนักงานนโยบายแผนพลังงาน 1 คน และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 5 คน
นายนิวัฒน์ กล่าวว่าในหนังสือนี้ กฟผ.ยังชี้แจงว่า ปัจจุบันมีโครงกาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลักเสนอขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทยจำนวน 4 โครงการคือ โครงการเขื่อนปากแบง ปากลาย สานะคามและหลวงพระบาง โดยขั้นตอนการพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำใน สปป.ลาวตามหลักเกณฑ์นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุกรรมการจัดหาฯ และทางกระทรวงพลังงานอาจมีการพิจารณาทบทวนแผน PDP2018 จากผลกระทบการระบาดโรค COVID19 ทำให้ความต้องการไฟฟ้าในประเทศไม่เป็นไปตามแผนเดิม
ก่อนหน้านี้เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงได้ส่งหนังสือขอให้ กฟผ.พิจารณาระงับการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนหลวงพระบางและเขื่อนอื่นๆ บนแม่น้ำโขงสายหลัก และส่งข้อกังวลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม และความเป็นอยู่ของประชาชนในเขตประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และสถานการณ์การระบาดของโรค COVID19 ได้ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าสำรองของประเทศสูงมากเกินความจำเป็น
นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา สมาชิกเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า การพิจารณารับซื้อไฟฟ้าต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำอย่างรอบด้าน แม่น้ำโขงเป็นมากกว่าพลังงานไฟฟ้า แต่เป็นพลังงานความมั่นคงทางอาหารที่โอบอุ้มหล่อเลี้ยงผู้คนนับล้าน ๆ คน สถานการณ์การระบาดของ COVIS19 ที่ผ่านมา แม่น้ำโขงได้ผลิตอาหารรองรับผู้คน และผู้คนชาวแม่น้ำโขงได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่อื่น ๆ และสามารถส่งปลาให้คนเมืองได้บริโภค ช่วยบรรเทาการขาดแคลนอาหารอย่างเห็นได้ชัด
กฟผ.ควรคำนึงถึงปัญหาเดิมที่ยังไม่แก้ไข การรับซื้อไฟฟ้าในขณะที่ไฟฟ้าสำรองมีเกินเพียงพอ จะทำให้ไทยขึ้นชื่อว่าไฟฟ้าที่ได้มาจากเขื่อนเป็นไฟฟ้าที่มาจากคราบน้ำตาของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ มาจากการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ใยดี
———————-
ปล. เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ออกจดหมายถึง กระทรวงพลังงานและ กฟผ. เรื่องสอบถามถึงแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนหลวงพระบาง บนแม่น้ำโขง และขอให้ทบทวนพิจารณาระงับการซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนหลวงพระบาง เนื่องจากขณะนี้มีการผลักดันการสร้างเขื่อนหลวงพระบางเป็นโครงการเขื่อนแห่งที่ 5 ที่เสนอเพื่อก่อสร้างบนแม่น้ำโขงสายหลัก โดยมีการประกาศครบวาระของกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง ปี 2538 (1995 Mekong Agreement) เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา มีประเทศไทยเป็นเป้าหมายของการรับซื้อไฟฟ้า