ศาลปกครองไม่รับฟ้องคดี ‘กลุ่มรักษ์เชียงของ’ ฟ้องกรมทรัพยากรน้ำ-คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย กรณี ‘โครงการเขื่อนปากแบง’ ด้านกลุ่มรักษ์เชียงเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุดเร็วๆ นี้ ชี้ผลกระทบข้ามพรมแดนก็ไม่แตกต่าง ‘เขื่อนไซยะบุรี’ ยิ่งรุนแรงกว่าเพราะห่างจากชายแดน จ.เชียงราย เพียง 92 กม.
23 ก.ย. 2560 นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ เปิดเผยว่าได้รับแจ้งจากทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชนว่ามีหนังสือแจ้งคำสั่งศาลปกครองในคดีที่กลุ่มรักษ์เชียงของฟ้องกรมทรัพยากรน้ำและคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย กรณีโครงการเขื่อนปากแบงบนแม่น้ำโขง โดยศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ซึ่งทางกลุ่มรักษ์เชียงของจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดเร็วๆ นี้
นายนิวัฒน์กล่าวว่า เมื่อได้อ่านคำสั่งแล้วตนเห็นว่าเรื่องบางอย่างที่ยังไปไม่ถึงปัญหา อย่างกรณีก่อนหน้านี้คือคดีเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งก็เป็นโครงการเขื่อนที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงและเป็นที่ชัดเจนว่ากระบวนการเปิดเผยข้อมูลในขั้นตอนการแจ้งและหารือล่วงหน้า (PNPCA) ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ. 2538 นั้นไม่ครบถ้วน แต่จะมองว่าเป็นเขื่อนของประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งนอกดินแดนของเรา คงมองแบนั้นไม่ได้ หากมองว่าทำอะไรไม่ได้คงจะทำให้การปกป้องแม่น้ำนานาชาติสายนี้เกิดขึ้นได้ยาก
การยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ก็หวังว่าจะมีแนวทางเหมือนกับคดีเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งศาลปกครองสูงสุดรับฟ้องในที่สุดแม้จะใช้เวลาถึง 2 ปี และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา สำหรับโครงการเขื่อนปากแบง ผลกระทบข้ามพรมแดนก็ไม่แตกต่างกัน และจะยิ่งรุนแรงกว่าเพราะอยู่ห่างจากชายแดนไทยที่ จ.เชียงรายเพียง 92 กิโลเมตร และโครงการนี้เกี่ยวเนื่องกับไทย ทั้งผู้รับซื้อไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนที่จะร่วมทุน ในการทำคำอุทธรณ์นี้เราจะดูประเด็นและชี้ให้ศาลเห็นชัดเจนว่าเป็นเขื่อนบนแม่น้ำโขงที่จะสร้างผลกระทบต่อประชาชนไทยอย่างรุนแรงและกว้างขวางจริงๆ
นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดี กล่าวว่าคดีนี้ฟ้องกรมทรัพยากรน้ำในฐานะคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และกรมทรัพยากรน้ำในฐานะหน่วยงานรัฐที่ดูแลกระบวนการตามข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ. 2538 ที่โครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานต้องทำกระบวนการแจ้งและปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ในประเทศไทยสิ่งที่ฟ้องในคดีนี้คือหน่วยงานรัฐไทยว่าไม่ได้ทำหน้านี้อย่างถูกต้องในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ที่จะได้รับผลกระทบ ที่สำคัญคือหน่วยงานมีอีกหน้าที่คือต้องให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กรณีการพัฒนาสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน
การฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องคดีที่เอาโครงการเขื่อนเป็นสิ่งบ่งบอกว่าหน่วยงานมีหน้าที่ใดแต่กลับไม่ได้ทำ ซึ่งก่อนหน้านี้ชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงได้ยื่นหนังสือสอบถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยเฉพาะผลกระทบข้ามพรมแดนที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวว่าสถานที่ตั้งโครงการเขื่อนอยู่นอกประเทศ เนื่องจากคดีนี้ไม่ได้ฟ้องตัวโครงการเขื่อนปากแบง
สำหรับคดีนี้มีลักษณะคล้ายคดีเขื่อนไซยะบุรี เนื่องจากหน่วยงานรัฐของไทยมีหน้าที่ต้องทำเกี่ยวกับโครงการนี้ ซึ่งเชื่อว่าศาลปกครองสูงสุดน่าจะใช้แนวคิดเดียวกัน
“เราฟ้องคดีนี้ขอให้หน่วยงานรัฐออกระเบียบ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการบริหาร แต่เป็นการออกกฎระเบียบในการทำหน้าที่ของตน เคยมีคดีตัวอย่างก่อนหน้านี้คือคดีโคบอล์ต ที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานรัฐไม่ได้ออกกฎในการเก็บกากกัมมันตภาพรังสีให้ถูกต้องปลอดภัย ซึ่งคดีเขื่อนแม่น้ำโขงนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกันที่หน่วยงานไม่ได้ออกระเบียบให้ถูกต้อง เชื่อว่าฟ้องได้ ไม่ใช่เรื่องในทางบริหาร และเชื่อว่าจะการอุทธรณ์จะมีผลออกมาในแนวโน้มไม่แตกต่างกัน” นส.ส.รัตนมณีกล่าว
ทบทวน ‘ประเด็นต้องวินิจฉัย’ ของศาลปกครอง
ทั้งนี้ ในคดีนี้ศาลปกครองมีประเด็นต้องวินิจฉัย ดังนี้
ในประเด็นที่ 1 ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามที่ดำเนินการรับฟัง ความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังนํ้าปากแบง ตามระเบียบปฏิบัติเรื่องการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง (Procedure for Notification Prior Consultation and Agreement : PNPCA) ระหว่างวันที่ 9 ก.พ. – 23 มี.ค. 2560 โดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 กำหนด ทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนเพียงพอและไม่สามารถตอบคำถามหรือข้อสงสัยในประเด็นเรื่องผลกระทบต่อประชาชนได้ รวมทั้งเป็นการรับฟังความคิดเห็นไม่ทั่วถึงทุกจังหวัดที่อยู่ติดแม่นํ้าโขงที่มีจำนวนทั้งสิ้น 8 จังหวัดหรือไม่
ขอให้ศาลปกครองพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าปากแบง และความเห็นต่างๆ ที่ได้ดำเนินการส่งไปยังคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ข้อหานี้ศาลเห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ศาลพิเคราะห์ว่า การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือ ตัดสินใจดำเนินโครงการของรัฐได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องที่จะต้องออกกฎหรือคำสั่งทางปกครองมาใช้บังคับ หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการของรัฐแล้วแต่กรณี อย่างถูกต้องและรอบด้าน
ดังนั้น โดยสภาพแล้วการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่ว่าจะได้ดำเนินการมาโดยชอบหรือมิชอบด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ก็ตาม จึงยังไม่ก่อหรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้หนึ่งผูใดเลย จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน คงมีแต่เพียงสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือการตัดสินใจดำเนินโครงการของรัฐเท่านั้น ตามนัยมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (เทียบคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 555/2550)
ประเด็นที่ 2 ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ละเลยดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง การแปลเอกสารเป็นภาษาไทยเกี่ยวกับโครงการทั้งหมด และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ทั้งในฝั่งประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดน ก่อนที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว จะดำเนินการก่อสร้างเขื่อนปากแบง หรือก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอันเป็นล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 หรือไม่
ศาลพิเคราะห์ว่า โครงการไฟฟ้าพลังนํ้าเขื่อนปากแบงเป็นโครงการของ สปป.ลาว ที่จะก่อสร้างเขื่อนปากแบงบนแม่น้ำโขงสายประธาน แขวงอุดมไชย โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ไม่มีอำนาจและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการก่อสร้างโครงการเขื่อนปากแบง และไม่มีหน้าที่จัดทำรายงานประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพและสังคม และการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแต่อย่างใด หน้าที่ดังกล่าวล้วนเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลสปป.ลาว
ประเด็นสุดท้ายผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ไม่ดำเนินการคัดค้าน และให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงหรือต่อรัฐบาลไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่าโครงการเขื่อนปากแบงเป็นโครงการที่จะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชุมชน และประชาชนในประเทศไทย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ทักท้วงและคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนปากแบงต่อคณะกรรมการแม่นํ้าโขง และสปป.ลาว พร้อมทั้งแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชะลอการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการ จนกว่าจะมีการศึกษาและมาตรการที่มั่นใจได้ว่าโครงการจะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในประเทศไทย
ศาลพิเคราะห์ว่า คำฟ้องในข้อหานี้เป็นกรณีที่ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ให้ดำเนินการข้างต้นในโครงการที่เป็นการก่อสร้างเขื่อนอันเป็นอำนาจดำเนินการของสปป.ลาว โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะเข้าไปดำเนินการคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวได้ อีกทั้ง การลงนามหรือไม่ลงนามทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเจรจาตกลงกันในทางพาณิชย์หรือทางธุรกิจในการประกอบกิจการไฟฟ้า อันเป็นสิทธิหน้าที่ในความสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชน มิใช่อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 จะดำเนินการได้
ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 จึงไม่มีหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฎิบัติตามคำขอของผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองจึงไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ได้ ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ต่อศาลปกครองเช่นเดียวกัน
จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ตัวอย่างคดีผลกระทบข้ามพรมแดน ‘เขื่อนไซยะบุรี’ ศาลชี้ชาวบ้านได้สิทธิฟ้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน มิ.ย. 2557 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งในคดีเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเป็นเขื่อนแห่งแรกที่ก่อสร้างบนแม่น้ำโขงตอนล่าง โดยชาวบ้านจำนวน 37 คนได้ฟ้องการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และหน่วยงานรัฐอื่นๆ รวม 5 หน่วยงาน โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม ทั้งในฝ่ายไทยและประเทศเพื่อนบ้านซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดน ก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อไฟฟ้าโครงการเขื่อนไซยะบุรี
คดีดังกล่าวศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ฟ้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบโดยตรงและมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง จึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการงดเว้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อน หรือเสียหาย ที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจำต้องมีคำบังคับโดยสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคมตามคำขอของผู้ฟ้องคดี
โครงการเขื่อนไซยะบุรีสร้างในแม่น้ำนานาชาติ ต้องปฎิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น PNPCA เนื่องจากเป็นกติกาที่ใช้ในการจัดการแม่น้ำนานาชาติร่วมกัน โครงการไซยะบุรีเป็นโครงการที่กั้นแม่น้ำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียตนาม ซึ่งเป็นผลกระทบข้ามพรมแดน จึงทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องโดยใช้สิทธิชุมชนในการฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิเพื่อคุ้มครองไม่ให้ตนได้รับผลกระทบ จึงใช้สิทธิในการฟ้องได้
ศาลจึงมีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องเฉพาะข้อหาที่ 3 ในส่วนที่ฟ้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ไว้พิจารณา