“6,000 ชีวิต อาจต้องตายอยู่กลางทะเล” AI ชวนร่วมลงชื่อร้องประธานอาเซียนช่วยเหลือโรฮิงญา-ผู้อพยพ

“6,000 ชีวิต อาจต้องตายอยู่กลางทะเล” AI ชวนร่วมลงชื่อร้องประธานอาเซียนช่วยเหลือโรฮิงญา-ผู้อพยพ

20 พ.ค. 2558 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดกิจกรรมรณรงค์ออนไลน์ “หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ ‘6,000 ชีวิต’ จะต้องตายอยู่กลางทะเล” ชวนร่วมลงชื่อเรียกร้องนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เร่งบรรเทาสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากจากเมียนมาและบังกลาเทศ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการคุ้มครอง ในเว็บไซต์ http://amnesty.or.th/get-involved/take-action/594?sid=2553

20152005143425.jpg

ข้อความเชิญชวนระบุดังนี้

หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ ‘6,000 ชีวิต’ จะต้องตายอยู่กลางทะเล

กว่า 6,000 ชีวิตจากเมียนมาและบังกลาเทศกำลังถูกผลักไสให้อยู่กลางทะเล ซึ่งคนเหล่านี้เสี่ยงกับความตายมากขึ้นทุกขณะในระหว่างที่รัฐบาลมาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซียไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงทีเพื่อรักษาชีวิตของคนกลุ่มนี้  เรือหลายลำได้ลอยอยู่เหนือผืนน้ำกว่าสองเดือนแล้ว และคนที่อยู่บนเรือก็ขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม

ทางการมาเลเซียได้ประกาศผลักดันเรือออกไป และจะใช้มาตรการส่งกลับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางการอินโดนีเซียไม่ยอมให้เรือที่มีผู้โดยสารประมาณ 400 คนเข้าฝั่ง และอ้างว่าได้ให้อาหาร น้ำ และบอกทิศทางให้เรือมุ่งหน้าไปยังประเทศมาเลเซียแล้ว ทางการไทยประกาศเช่นกันเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า จะไม่ยอมให้เรือเหล่านี้เข้าฝั่ง ยกเว้นแต่ผู้ที่ป่วย ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง จนถึงเวลานี้ มีผู้อพยพราว 2,000 เดินทางถึงอินโดนีเซียและมาเลเซียแล้ว บางกลุ่มถูกจับกุมขณะที่ขึ้นฝั่ง

คนกว่า 2,000 เหล่านั้นหลบหนีมาจากประเทศพม่าและบังคลาเทศ มีทั้งที่เป็นผู้อพยพ และผู้ลี้ภัย รวมทั้งชาวมุสลิมโรฮิงญาซึ่งต้องเอาชีวิตหนีจากการเลือกปฏิบัติและความรุนแรง บางส่วนตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ หลายคนเสี่ยงตายเดินทางในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย เพื่อหลบหนีจากสภาพที่ยากจะทนในบ้านเกิดของตนเอง

การปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือและการพยายามผลักดันเรือเหล่านี้ไม่ให้ขึ้นสู่ฝั่งไม่ต่างอะไรจากการส่งให้พวกเขาไปตาย ในรายงานของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่าการเพิกเฉยต่อสถานการณ์และการไม่ยื่นมือเข้าช่วยนี้ทำให้อย่างน้อยกว่า 300 ชีวิตต้องสูญเสียบนเรือที่ลอยลำอยู่กลางทะเลนับตั้งแต่ต้อนปี 2558  

20152005143520.jpg

ภาพประกอบ: ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

ร่วมกันเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ให้เร่งบรรเทาสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตเหล่านี้ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการคุ้มครอง

เรียน นายกรัฐมนตรี ประเทศมาเลเซีย

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาคนกว่า 2,000 ซึ่งรวมถึงผู้หญิงและเด็กได้เดินทางขึ้นฝั่งที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียหลังจากที่พวกเขาอยู่บนเรือมานานมากกว่า 3 เดือน เชื่อได้ว่ามีอีกกว่า 6,000 ที่กำลังรอคอยความช่อยเหลือ เจ้าหน้าที่ทางการไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียได้ส่งเรือเหล่านี้กลับสู่น่านน้ำ ทั้งที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้คือคนที่หนีเพื่อรักษาชีวิตมาจากการดำเนินคดีและการเลือกปฏิบัติเนื่องจากการที่พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงยา

ไม่ว่าบุคคลเหล่านี้จะมีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร ไม่ว่าจะเดินทางมาถึงด้วยวิธีการใด หรือไม่ว่ามาจากที่ไหน ต้องมีการคุ้มครองสิทธิของพวกเขา พวกเขาไม่ควรถูกควบคุมตัว ฟ้องคดี หรือถูกลงโทษ โดยอาศัยหลักเกณฑ์การเดินทางเข้าสู่ประเทศเท่านั้น

ทุกประเทศล้วนแต่ต้องปฏิบัติตามหลักการร่วมที่ปรากฏในกฎหมายและวิธีปฏิบัติระหว่างประเทศรวมทั้งหลักการไม่ส่งกลับ  (non-refoulement) ซึ่งประกันว่าจะไม่เคลื่อนย้ายบุคคลไปยังสถานที่ใดซึ่งทำให้เสี่ยงต่อชีวิตหรือเสรีภาพของพวกเขา รวมทั้งประเทศบ้านเกิด ในข้อตกลงของสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเลปี 2491 ยังกล่าวถึงการที่รัฐมีหน้าที่ ค้นหาและช่วยเหลือทางทะเลอีกด้วย

ในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นประธานอาเซียน เราขอเรียกร้องให้ท่านร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนเพื่อ

ให้มีการประสานงานเพื่อค้นหาและช่วยเหลือ

ให้มีการอนุญาตให้เรือซึ่งมีผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเหล่านี้เข้าฝั่งอย่างปลอดภัย

ให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยทันทีสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเหล่านี้ ทั้งการให้อาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาล

ให้การประกันว่าบุคคลซึ่งแสวงหาที่พักพิงสามารถเข้าถึงขั้นตอนปฏิบัติเพื่อจำแนกสถานภาพผู้ลี้ภัย

เรียกร้องให้ทางการเมียนมายุติระบบที่เอื้อให้มีการทำร้ายและสังหารชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาโดยทันที

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration) เชื่อว่ายังคงมีผู้คนอีกประมาณ 6,000 คนอยู่บนเรือที่ลอยลำนอกชายฝั่งใกล้กับประเทศไทย ทางการไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียได้ประกาศเป็นนโยบายห้ามไม่ให้เรือเหล่านี้เข้ามาในเขตแดนของตน เว้นแต่มีสภาพที่ไม่อาจเดินทางต่อไปได้ ตามรายงานข่าวที่ได้รับ ทางการทั้งสามประเทศยังส่งเรือไปประกบเรือเหล่านั้นให้ออกไปจากน่านน้ำของตน หลังจากให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหารและเชื้อเพลิง

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้คนกว่า 2,000 คนเดินทางมาจากประเทศพม่าและบังคลาเทศโดยทางเรือ จนมาถึงประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หลายคนอยู่ในสภาพอิดโรยเนื่องจากขาดน้ำและอาหาร อีกหลายคนถูกควบคุมตัวเอาไว้และเสี่ยงจะถูกส่งตัวกลับ

ในประเทศอินโดนีเซียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เดินทางเข้าฝั่งที่แคว้นอาเจะห์และสุมาตราเหนืออย่างน้อย 1,300 คน หลายคนอยู่ในสภาพขาดอาหารและขาดน้ำ และต้องการการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน ในวันที่ 10 พฤษภาคม มีผู้โดยสารประมาณ 600 คนได้รับการช่วยเหลือจากเรือไม้สองลำที่ลอยอยู่นอกชายฝั่งอาเจะห์เหนือ ในแคว้นอาเจะห์ ในตอนเช้าของวันที่ 15 พฤษภาคม ชาวประมงอินโดนีเซียช่วยเหลือผู้โดยสารประมาณ 700 คนที่ลอยคออยู่กลางทะเลใกล้กับเมืองลังสา อาเจะห์ตะวันออก ในวันเดียวกัน ชาวประมงอินโดนีเซียยังพบผู้โดยสารอีก 96 คนรวมทั้งผู้หญิงแปดคนนอกชายฝั่งใกล้กับเมืองลังกัต ตอนเหนือของสุมาตรา

ในประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม มีผู้เดินทางขึ้นฝั่งเกาะลังกาวีกว่าพันคน รวมทั้งที่เป็นชาวมุสลิมโรฮิงญาและบังคลาเทศ พวกเขาถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวชั่วคราว และกำลังถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักตัวคนเข้าเมืองที่เบลันติก ที่จังหวัดเคดาห์ เพื่อเตรียมส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง กองทัพเรือมาเลเซียยังพบเรืออีกลำหนึ่งซึ่งมีผู้โดยสาร 500 คนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม นอกชายฝั่งตอนเหนือรัฐปีนัง มีการให้เชื้อเพลิงและเสบียงอาหาร ก่อนผลักดันออกไปสู่น่านน้ำสากล มีรายงานข่าวว่าทางการผลักดันเรือลำที่สามที่มีผู้โดยสารประมาณ 300 คนออกไปนอกชายฝั่งเกาะลังกาวีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 

ตามข้อมูลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Refugees – UNHCR) มีชาวโรฮิงญาประมาณ 25,000 คนจากพม่าและบังคลาเทศซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในเรือในอ่าวเบงกอลระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคมปีนี้ คิดเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของสองปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย หลายคนผ่านพรมแดนเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยก่อนหน้านั้นพวกเขาถูกนักค้ามนุษย์หรือผู้ลักลอบนำคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายควบคุมตัวไว้ในที่พักพิงชั่วคราวที่มีสภาพเลวร้ายในประเทศไทย ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนซึ่งเดินทางทางเรือผ่านอ่าวเบงกอลไปถึงประเทศมาเลเซียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยังได้เดินทางทางเรือต่อไปอย่างผิดกฎหมายไปจนถึงประเทศอินโดนีเซีย โดยผ่านช่องแคบมะละกา

แม้ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียไม่ลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 (1951 Refugee Convention) และประเทศไทยกับมาเลเซียไม่มีกรอบกฎหมายและมาตรการของฝ่ายบริหารที่จะแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย แต่ประเทศเหล่านี้ยังคงต้องปฏิบัติตามหลักการของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ทั้งนี้รวมถึงหลักการไม่ส่งกลับซึ่งห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายบุคคลไปยังสถานที่ที่เสี่ยงต่อชีวิตหรือเสรีภาพของพวกเขา รวมทั้งห้ามการทรมาน และการปฏิบัติที่เลวร้าย ย่ำยีศักดิ์ศรีและไร้มนุษยธรรม หลักการตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลบังคับใช้อื่น ๆ ยังประกอบด้วยข้อบัญญัติต่างๆ ที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล พ.ศ. 2525 (1982 UN Convention on the Laws of the Sea) (ซึ่งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียเป็นรัฐภาคี) ซึ่งกำหนดหน้าที่ในปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือ นอกจากนั้น ตามข้อ 1 (7) ของกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ยังกำหนดให้ประเทศในอาเซียนต้องรับผิดชอบในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

 

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ