17 พ.ค.2558 สำนักงานเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งอยู่ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วนเรียกร้องสมาชิกทั่วโลกส่งจดหมายถึงรัฐบาล 3 ประเทศ เพื่อแสดงความห่วงใยกรณีผู้ลี้ภัยและผู้อพยพหลายพันคนเสี่ยงต่อความตายอยู่กลางทะเลรอบประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียหลังจากประเทศเหล่านี้ผลักดันเรือของพวกเขาออกไปหรือปฏิเสธไม่ให้เข้าชายฝั่ง โดยการรณรงค์ดังกล่าวจะมีไปถึงวันที่ 26 มิ.ย. 2558
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า มีผู้ถูกทอดทิ้งอยู่กลางทะเลมากถึง 8,000 คน ในขณะที่ทางการไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ผู้โดยสารกว่า 2,000 คนเดินทางไปถึงประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียในสัปดาห์นี้ บางส่วนถูกควบคุมตัวเมื่อเดินทางไปถึง หลายคนรอนแรมอยู่กลางทะเลกว่าสองเดือน ทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับอาหาร น้ำ และการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน การปฏิเสธไม่ช่วยเหลือหรือผลักให้เรือที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารกลับสู่ท้องทะเล เสมือนเป็นการลงโทษประหารชีวิตบุคคลกลุ่มดังกล่าว รายงานข่าวระบุว่าในเรือเหล่านี้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10 คน
ต้นสัปดาห์นี้ ทางการมาเลเซียประกาศใช้มาตรการลงโทษ ทั้งการผลักดันเรือออกไปและการส่งกลับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เข้ามาเพิ่มเติม ในวันที่ 12 พ.ค. ทางการอินโดนีเซียไม่ยอมให้เรือที่มีผู้โดยสารประมาณ 400 คนเข้าฝั่ง และอ้างว่าได้ให้อาหาร น้ำ และบอกทิศทางให้เรือมุ่งหน้าไปยังประเทศมาเลเซียแล้ว ทางการไทยประกาศเช่นกันเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า จะไม่ยอมให้เรือเหล่านี้เข้าฝั่ง ผู้โดยสารหลายพันคนบนเรือหลบหนีมาจากประเทศพม่าและบังคลาเทศ มีทั้งที่เป็นผู้อพยพ และผู้ลี้ภัยรวมทั้งชาวมุสลิมโรฮิงญาซึ่งหลบหนีการเลือกปฏิบัติและความรุนแรง บางส่วนตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ หลายคนเสี่ยงตายเดินทางในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย เพื่อหลบหนีจากสภาพที่ยากจะทนในบ้านเกิดของตนเอง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุด้วยว่า ไม่ว่าบุคคลเหล่านี้จะมีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร ไม่ว่าจะเดินทางมาถึงด้วยวิธีการใด หรือไม่ว่ามาจากที่ไหน ต้องมีการคุ้มครองสิทธิของพวกเขา ไม่ควรมีการควบคุมตัว ฟ้องคดี หรือลงโทษบุคคลเหล่านี้โดยอาศัยหลักเกณฑ์ในแง่การเดินทางมาถึงเท่านั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องประเทศต่างๆ ในภูมิภาคให้เพิ่มความพยายามและประสานงานกันโดยทันที เพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาค ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ถูกทอดทิ้งอยู่กลางทะเล
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกส่งเขียนจดหมายถึงทางการไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีข้อเรียกร้องถึงสามประเทศดังนี้
• ให้มีการประสานงานเพื่อค้นหาและช่วยเหลือ โดยการจำแนกตำแหน่งและให้ความช่วยเหลือเรือที่กำลังประสบอันตราย
• ให้มีการอนุญาตให้เรือซึ่งมีผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเหล่านี้เข้าฝั่งอย่างปลอดภัยในประเทศที่ใกล้ที่สุด และไม่ผลักดันเรือออกไป ไม่คุกคามหรือไม่ข่มขู่พวกเขา
• ให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยทันทีสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเหล่านี้ ทั้งการให้อาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาล
• ให้การประกันว่าบุคคลซึ่งแสวงหาที่พักพิงสามารถเข้าถึงขั้นตอนปฏิบัติเพื่อจำแนกสถานภาพผู้ลี้ภัย
• ให้เคารพหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) โดยประกันว่าจะไม่เคลื่อนย้ายบุคคลไปยังสถานที่ใดซึ่งทำให้เสี่ยงต่อชีวิตหรือเสรีภาพของพวกเขา รวมทั้งประเทศบ้านเกิด
• ให้การประกันว่าจะไม่เอาผิดทางอาญา ไม่ควบคุมตัวหรือลงโทษบุคคลเพียงเพราะวิธีการเข้าประเทศของพวกเขา
โดยการรณรงค์ดังกล่าวจะมีไปถึงวันที่ 26 มิ.ย. 2558
ข้อมูลเพิ่มเติม
องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration) เชื่อว่ายังคงมีผู้คนอีกประมาณ 8,000 คนอยู่บนเรือที่ลอยลำนอกชายฝั่งใกล้กับประเทศไทย ทางการไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียได้ประกาศเป็นนโยบายห้ามไม่ให้เรือเหล่านี้เข้ามาในเขตแดนของตน เว้นแต่มีสภาพที่ไม่อาจเดินทางต่อไปได้ ตามรายงานข่าวที่ได้รับ ทางการทั้งสามประเทศยังส่งเรือไปประกบเรือเหล่านั้นให้ออกไปจากน่านน้ำของตน หลังจากให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหารและเชื้อเพลิง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้คนกว่า 2,000 คนเดินทางมาจากประเทศพม่าและบังคลาเทศโดยทางเรือ จนมาถึงประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หลายคนอยู่ในสภาพอิดโรยเนื่องจากขาดน้ำและอาหาร อีกหลายคนถูกควบคุมตัวเอาไว้และเสี่ยงจะถูกส่งตัวกลับ
ในประเทศอินโดนีเซียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เดินทางเข้าฝั่งที่แคว้นอาเจะห์และสุมาตราเหนืออย่างน้อย 1,300 คน หลายคนอยู่ในสภาพขาดอาหารและขาดน้ำ และต้องการการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน ในวันที่ 10 พฤษภาคม มีผู้โดยสารประมาณ 600 คนได้รับการช่วยเหลือจากเรือไม้สองลำที่ลอยอยู่นอกชายฝั่งอาเจะห์เหนือ ในแคว้นอาเจะห์ ในตอนเช้าของวันที่ 15 พฤษภาคม ชาวประมงอินโดนีเซียช่วยเหลือผู้โดยสารประมาณ 700 คนที่ลอยคออยู่กลางทะเลใกล้กับเมืองลังสา อาเจะห์ตะวันออก ในวันเดียวกัน ชาวประมงอินโดนีเซียยังพบผู้โดยสารอีก 96 คนรวมทั้งผู้หญิงแปดคนนอกชายฝั่งใกล้กับเมืองลังกัต ตอนเหนือของสุมาตรา
ในประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม มีผู้เดินทางขึ้นฝั่งเกาะลังกาวีกว่าพันคน รวมทั้งที่เป็นชาวมุสลิมโรฮิงญาและบังคลาเทศ พวกเขาถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวชั่วคราว และกำลังถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักตัวคนเข้าเมืองที่เบลันติก ที่จังหวัดเคดาห์ เพื่อเตรียมส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง กองทัพเรือมาเลเซียยังพบเรืออีกลำหนึ่งซึ่งมีผู้โดยสาร 500 คนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม นอกชายฝั่งตอนเหนือรัฐปีนัง มีการให้เชื้อเพลิงและเสบียงอาหาร ก่อนผลักดันออกไปสู่น่านน้ำสากล มีรายงานข่าวว่าทางการผลักดันเรือลำที่สามที่มีผู้โดยสารประมาณ 300 คนออกไปนอกชายฝั่งเกาะลังกาวีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม
ตามข้อมูลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Refugees – UNHCR) มีชาวโรฮิงญาประมาณ 25,000 คนจากพม่าและบังคลาเทศซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในเรือในอ่าวเบงกอลระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคมปีนี้ คิดเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของสองปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย หลายคนผ่านพรมแดนเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยก่อนหน้านั้นพวกเขาถูกนักค้ามนุษย์หรือผู้ลักลอบนำคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายควบคุมตัวไว้ในที่พักพิงชั่วคราวที่มีสภาพเลวร้ายในประเทศไทย ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนซึ่งเดินทางทางเรือผ่านอ่าวเบงกอลไปถึงประเทศมาเลเซียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยังได้เดินทางทางเรือต่อไปอย่างผิดกฎหมายไปจนถึงประเทศอินโดนีเซีย โดยผ่านช่องแคบมะละกา
แม้ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียไม่ลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 (1951 Refugee Convention) และประเทศไทยกับมาเลเซียไม่มีกรอบกฎหมายและมาตรการของฝ่ายบริหารที่จะแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย แต่ประเทศเหล่านี้ยังคงต้องปฏิบัติตามหลักการของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ทั้งนี้รวมถึงหลักการไม่ส่งกลับซึ่งห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายบุคคลไปยังสถานที่ที่เสี่ยงต่อชีวิตหรือเสรีภาพของพวกเขา รวมทั้งห้ามการทรมาน และการปฏิบัติที่เลวร้าย ย่ำยีศักดิ์ศรีและไร้มนุษยธรรม หลักการตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลบังคับใช้อื่นๆ ยังประกอบด้วยข้อบัญญัติต่างๆ ที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล พ.ศ. 2525 (1982 UN Convention on the Laws of the Sea) (ซึ่งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียเป็นรัฐภาคี) ซึ่งกำหนดหน้าที่ในปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือ นอกจากนั้น ตามข้อ 1 (7) ของกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ยังกำหนดให้ประเทศในอาเซียนต้องรับผิดชอบในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน