28 ม.ค. 2559 มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เผยแพร่ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2559 ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนราธิวาส ได้อ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 143/2558 ในข้อหา “สมคบกันก่อการร้าย ร่วมกันก่อการร้ายโดยการสะสมกำลังพลอาวุธ อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”
ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีระหว่างโจทก์คือ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 9 กับจำเลยคือเยาวชนไทยพุทธคนหนึ่ง คดีนี้พนักงานอัยการได้ยื่นคำฟ้องจำเลยต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2558 ซึ่งจำเลยในคดีนี้ถูกควบคุมตัวที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส มาโดยตลอดระหว่างการพิจารณาคดี
สืบเนื่องจาก กรณีเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2557 เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าปฏิบัติการตามยุทธการพิทักษ์เทือกเขาตะเว แล้วเกิดการยิงปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบซึ่งหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตรวจยึดอุปกรณ์สำหรับเตรียมก่อความไม่สงบและเครื่องอุปโภคบริโภคได้กว่า 600 รายการอันเป็นเหตุนำมาซึ่งการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA) และจากวัตถุพยานบางรายการ โจทก์อ้างว่าตรงกับ DNA ของจำเลย
คดีนี้โจทก์นำพยานเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และพนักงานสอบสวนชุดตรวจสถานที่เกิดเหตุ เข้าสืบตั้งแต่วันที่ 16, 17 และ 24 ธ.ค. 2558 รวมทั้งสิ้นจำนวน 9 ปาก
ในส่วนของจำเลยนั้น จำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด อ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบ และได้นำเอกสารผลการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) ซึ่งเป็นข้อมูลผลการตรวจในฐานข้อมูลจากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ปรากฏว่า ผลสารพันธุกรรมของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นแบบเดียวกันกับสารพันธุกรรมที่พบในวัตถุพยานที่โจทก์กล่าวอ้าง เป็นการพิสูจน์ยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งศาลชั้นต้น (ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนราธิวาส) ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง