รายงานโดย ศรายุทธ ฤทธิพิณ
สำนักข่าวปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน
10 ก.พ. 2559 ชาวบ้านกุดแข้ดอน ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่สาธารณะประโยชน์โคกปออีกว้าง ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดยโสธร
นายอาทิตย์ สังขะสี อายุ 62 ปี ชาวบ้านกุดแข้ดอน ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ผู้ถูกฟ้องคดี กล่าวว่า ภายหลังจากเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2558 ศาลจังหวัดยโสธรได้นัดไต่สวนกรณีข้อพิพาทพื้นที่สาธารณะประโยชน์โคกปออีกว้าง โดยศาลได้มีคำสั่งให้เก็บเกี่ยวผลผลิตให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แล้วออกไปจากพื้นที่ และห้ามเข้าไปอีก ซึ่งตนเองได้เก็บเกี่ยวข้าว จำนวนกว่า 20 ไร่ เสร็จแล้ว และได้ออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษาของศาลแล้ว
นายอาทิตย์ บอกอีกว่า แม้ตนเองและครอบครัวจะสูญเสียการใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินเดิม พร้อมกับหมดพื้นที่ทำไร่ทำนา ต้องไปหาอาศัยทำกับพี่น้องคนอื่นๆ แต่หลังจากนั้นทางเทศบาลตำบลกุดเชียงหมียังติดใจที่ในพื้นที่ยังมีสิ่งปลูกสร้างหลงเหลืออยู่ เพราะเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาสอดส่องและแอบถ่ายรูปไว้ บางครั้งก็เข้ามาเตือนในท่วงทำนองที่ว่ายังไม่รื้อถอนออกไปให้หมดอีกหรือ
ทั้งนี้สิ่งปลูกสร้างที่ยังเหลืออยู่เป็นเพียงเล้าไก่เล็กๆ กับเรือนเก็บอุปกรณ์เก่าๆ เช่น เครื่องมือหาปลา ซากคันไถ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนผุพัง ดังนั้น ในวันนี้ (10 ก.พ.59) จึงพาครอบครัวมาช่วยกันรื้อสิ่งปลูกสร้างให้ค่อยๆ หมดสิ้นไป เพื่อที่จะเป็นการที่แสดงว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล
สำหรับกรณีความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว นายอาทิตย์ เล่าว่า เรื่องเดิมเกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณปี 2541 พนักงานอัยการจังหวัดยโสธรได้ยื่นฟ้องนายชู สังขะศรี พ่อของเขา และพวกรวม 4 คนซึงเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ในข้อหาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์โคกปออีกว้าง ในช่วงระหว่างรอการพิจารณาของศาลชั้นต้น บิดาของเขาได้เสียชีวิตลง ต่อมาศาลจังหวัดยโสธรก็ได้มีคำพิพากษาให้ออกจากพื้นที่
จนมาถึงกระบวนการชั้นศาลฎีกา ในปี 2545 ศาลมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่เหลือได้ออกจากพื้นที่ดินทำกินไปแล้ว แต่เนื่องจากคิดว่ามีความชอบธรรมในการใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินที่ได้รับการสืบทอดมาจากพ่อ จึงเรียกร้องต่อรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล
นายอาทิตย์ กล่าวว่า หลังจากเมื่อวันที่ 23.ม.ค.58 ได้มีการประชุมคณะทำงานเร่งรัดติดตามปัญหาผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชน ระหว่างขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กับรัฐบาล พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมมีมติว่า ในระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหา การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตอันปกติสุขของประชาชน และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินได้ไปพลางก่อนจนกว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาจะมีผลเป็นที่ยุติ
จึงได้กลับเข้าไปทำนาปลูกข้าวตามปกติ เพราะเห็นว่าได้มีมติที่ประชุมตามนโยบายให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินได้ไปพลางก่อน เป็นเหตุให้เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 58 เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลกุดเชียงหมียื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานสอบสวนขอออกหมายจับ กระทั่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย.58 พนักงานตำรวจสถานีตำรวจเลิงนกทา ได้เข้ามาจับกุมตัวตนเองกับพวกตามหมายจับของศาลจังหวัดยโสธร กระทั่งได้มีการนัดไต่สวน โดยศาลได้พิจารณาคำสั่งให้เก็บเกี่ยวผลผลิตให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน พร้อมให้ออกจากพื้นที่ ดังที่กล่าวมา
ด้านนางถาวร ธนสิงห์ กล่าวว่า กรณี นายอาทิตย์ สังขะสีและพวก ที่ถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินคดีนั้น ตนเองพร้อมกับนายไสว มาลัย ผู้ประสานงานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) และสมาชิกกว่า 10 คน ได้ขอเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ณ ศาลากลางจังหวัด ในวันที่ 27 ส.ค.58 เพื่อร่วมชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมขอความธรรม เนื่องจากพื้นที่พิพาทดังกล่าวอยู่ในระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา
อีกทั้งได้ยื่นหนังสือที่ทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร 0105.04/6336 เรียนส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ลงวันที่ 17 ส.ค.58 เรื่องขอให้ชะลอการดำเนินการใดๆ อันจะเป็นมูลเหตุให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการกับราษฏร และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินการใดๆ กับนายอาทิตย์ และพวก
“ที่สุดแล้วผลการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนตามนโยบายภาครัฐ ไม่ได้เกิดผลในภาคปฏิบัติเท่าที่ควร ครั้งนั้นปลัดจังหวัดยโสธร ออกมารับหนังสือ พร้อมชี้แจงว่าจะดำเนินการประสานไปยังนายอำเภอเลิงนกทา รวมทั้งพนักงานสอบสวน เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนอันปกติสุขของประชาชน ต่อมาเจ้าพนักงานสอบสวนได้แจ้งการข้อกล่าวหานายอาทิตย์พร้อมพวกรวม 3 ราย คือ นายสมศักดิ์ สังขะศรี นางสาวประกาย สังขะศรี และ นางพิจิตร ศรีอุบล ว่าบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์ ปัจจุบันนี้คดีอยู่ในชั้นพนักงานอัยการพิจารณาคดี” นางถาวร กล่าวเพิ่มเติม