ผลสำรวจ CSCD ระบุว่าคนในพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงยอมรับและเชื่อมั่นในกระบวนการสันติภาพ แม้ว่าความคืบหน้าจะไม่ปรากฎต่อสาธารณะมากนัก อีกทั้งยังให้คะแนนความเชื่อมั่นต่อ 3 ฝ่ายสำคัญในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข ผลศึกษาระบุความเชื่อมั่นต่อ “รัฐบาลประยุทธ์” สูงโด่ง ในขณะที่ผู้นำศาสนายังเป็นกลุ่มคนที่ครองความเชื่อมั่นไว้วางใจ พบข้อเสนอลดความรุนแรงทุกฝ่าย โดยเฉพาะต่อเป้าหมายบริสุทธิ์ แนะใช้กลไกยุติธรรมทางเลือกและอยากเห็นทั้งรัฐและขบวนการแก้ปัญหายาเสพติดร่วมกัน
สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD)
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในงานวิจัยชื่อ “การสำรวจแนวโน้มทัศนคติของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบ, ความยุติธรรม, ปัญหาสังคม และการสร้างสันติภาพ” โดยทำการสุ่มตัวอย่างประชากรจำนวน 2,104 ตัวอย่าง จากพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงร้อยละ 45.1 เป็นเพศชายร้อยละ 54.9 ซึ่งอายุเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามอยู่ที่ 42.8 ปี โดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 75.1 ถือศาสนาพุทธร้อยละ 24.9 การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการภายใต้ทุนในการดำเนินโครงการวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยลงเก็บข้อมูลในห้วงวันที่ 13 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ในเดือนรอมฎอนตามปฏิทินอิสลาม
ภาพรวมความคิดเห็นต่อกระบวนการสันติภาพ
การสอบถามความคิดเห็นต่อกระบวนการสันติภาพได้มีการกำหนดเกณฑ์ หรือให้การยอมรับและเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพ ผ่านตัวเลือกในการให้คะแนน โดยประเมินจาก 0-10 ซึ่งหากผู้ประเมินให้คะแนนตั้งแต่ 5-10 ถือว่าผ่านเกณฑ์หรือยอมรับ และให้ความเชื่อมั่นหรือเกณฑ์ผ่านมากกว่าร้อยละ 50 แต่ถ้าให้คะแนนต่ำกว่านี้ให้ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์หรือไม่ให้การยอมรับเชื่อมั่นกระบวนการสันติภาพ
ผลการศึกษาเบื้องต้นในประเด็นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข นั้น พบว่า ประชาชนร้อยละ 76.9 ให้คะแนนผ่านเกณฑ์หรือให้การยอมรับและเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่กับกลุ่มที่มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐ (เช่น กลุ่มบีอาร์เอ็น) โดยมีคะแนนเฉลี่ยในการประเมินคือ 5.50 และประชาชนร้อยละ 80.2 ให้คะแนนผ่านเกณฑ์หรือให้การยอมรับและเชื่อมั่นว่ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข ที่กำลังดำเนินการอยู่จะมีความต่อเนื่องและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีคะแนนเฉลี่ยในการประเมินคือ 5.71
ข้อค้นพบที่น่าสนใจก็คือ เมื่อนำผลการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้ไปเปรียบเทียบกับผลการสำรวจความคิดเห็นของ CSCD ในประเด็นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพเมื่อ 2 ปีก่อนในช่วงเดือนมีนาคม 2556 และเดือนมิถุนายน 2556 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพูดคุยเพื่อสันติภาพที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในรัฐบาลชุดที่แล้ว พบว่าการยอมรับและเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่กับกลุ่มผู้มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้น กล่าวคือ ขณะที่ในครั้งนี้มีประชาชนร้อยละ 76.9 ให้คะแนนผ่านเกณฑ์ดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งสูงกว่าในช่วงเดือนมีนาคม 2556 ที่มีประชาชนร้อยละ 67.1 ให้คะแนนผ่านเกณฑ์หรือให้การยอมรับและเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่กับกลุ่มเห็นต่างในขณะนั้น และยังสูงกว่าผลการสำรวจในช่วงเดือนมิถุนายน 2556 ก็พบว่ามีประชาชนร้อยละ 76.6 ที่ให้คะแนนผ่านเกณฑ์
การสำรวจความคิดเห็นในเดือนมีนาคม 2556 นั้นดำเนินการหลังจากที่มีการลงนามในเอกสารฉันทามติว่ากระบวนการสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์ระหว่างเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติและผู้แทนของกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ในขณะที่การสำรวจในเดือนมิถุนายน 2556 นั้น ดำเนินการขึ้นภายหลังจากที่มีการพบปะพูดคุยอย่างเป็นทางการระหว่างสองฝ่ายภายใต้การอำนวยความสะดวกโดยทางการมาเลเซียมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง กระบวนการพูดคุยเมื่อสองปีที่แล้วนั้นเป็นที่สนใจติดตามในสายตาของสาธารณชน เนื่องจากมีการสื่อสารจากกลุ่มและฝ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง น่าสนใจว่าแม้ “กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข” ในรัฐบาลปัจจุบันจะดำเนินไปอย่างค่อนข้างปิดลับและระมัดระวังต่อการสื่อสารต่อสาธารณะ แต่ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพของประชาชนในพื้นที่ก็ยังไม่ได้ลดต่ำลง กลับมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า ประชาชนในพื้นที่ร้อยละ 81.2 มีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของฝ่ายรัฐในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข โดยมีคะแนนเฉลี่ยในการประเมินคือ 6.05 ในขณะที่มีประชาชนในพื้นที่ร้อยละ 74.8 ให้ความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลที่มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข โดยมีคะแนนเฉลี่ยในการประเมินคือ 5.43 นอกจากนี้ยังพบว่า ประชาชนในพื้นที่ร้อยละ 80.6 มีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของประเทศมาเลเซียในบทบาทผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข โดยมีคะแนนเฉลี่ยในการประเมินคือ 5.70
น่าสนใจว่าความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ต่อตัวแสดงสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อ “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ที่มีอยู่ค่อนข้างสูงนั้นอาจนมีส่วนสอดคล้องกับความเชื่อมั่นและความพึงพอใจต่อนโยบายและการทำงานของรัฐบาลปัจจุบันที่พบว่ามีประชาชนถึงร้อยละ 81.4 มีความพึงพอใจต่อนโยบายและการทำงานของรัฐบาลประยุทธ์ โดยมีคะแนนเฉลี่ยในการประเมินความพึงพอใจคือ 6.14
ความไว้วางใจต่อกลุ่มคนหรือองค์กรต่างๆ ในพื้นที่
ประเด็นต่อมาเป็นการประเมินความเชื่อมั่นไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อกลุ่มบุคคลและกลุ่มองค์กร ทั้งเอกชนและรัฐ โดยการสำรวจความเชื่อมั่นไว้วางใจจะพิจารณาจากภารกิจงานในสองประเภท คือในงานด้านการพัฒนาและในงานด้านการสร้างสันติภาพ เมื่อถามเกี่ยวกับความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อกลุ่มคนหรือองค์กรในด้านการพัฒนา ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามวางลำดับความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อกลุ่มคน 5 อันดับ ดังนี้ คือ 1) ผู้นำศาสนาในชุมชน เช่น โต๊ะอิหม่าม 2) คือ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและผู้นำศาสนา (อิหม่ามหรือพระ) 3) คือ กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน 4) คือ รัฐบาลปัจจุบัน และ 5) คือ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่อนามัย อสม. เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มที่มีคะแนนต่ำสุดในด้านความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อการพัฒนา คือ ทหารพราน
เมื่อถามความเชื่อมั่นไว้วางใจเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยและการสร้างสันติภาพ กลุ่มที่ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามให้ความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อกลุ่มคน 5 ลำดับแรก ดังนี้ 1) คือ ผู้นำศาสนาในชุมชน เช่น โต๊ะอิหม่าม 2) คือรัฐบาลปัจจุบัน 3) คือ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและผู้นำศาสนา เช่น เจ้าคณะจังหวัด 4) คือ กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน 5) คือ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่อนามัย อสม. ส่วนกลุ่มที่มีคะแนนต่ำสุดคือ เจ้าหน้าที่ทหารพราน
ข้อเสนอในเส้นทางกระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืน
จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ในครั้งนี้ ได้ศึกษาประเด็น ความคิดเห็นต่อข้อเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้งประชาชนที่มีต่อการพูดคุยสันติภาพ ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามมีข้อเสนอสำคัญในลำดับต้นๆ ดังนี้
1) ต้องมีการลดความรุนแรงจากทุกฝ่าย โดยการหลีกเลี่ยงการก่อเหตุความรุนแรงหรือปฏิบัติการกับเป้าหมายที่เป็นผู้บริสุทธิ์
2) การผลักดันให้เกิดกลไกยุติธรรมทางเลือกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่สังคมมีความเคลือบแคลงสงสัย และมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง เป็นต้น
3) การร่วมมือกันระหว่างทุกฝ่ายในการแก้ปัญหาที่ประชาชนในพื้นที่ห่วงกังวลและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอที่ต้องการให้มีการแก้ปัญหายาเสพติดร่วมกัน
ข้อค้นพบดังกล่าวนี้เป็นเพียงผลการสำรวจเบื้องต้นสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น สำหรับการนำเสนอผลการสำรวจฉบับเต็มทาง CSCD จะกำหนดให้มีการเผยแพร่ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2559 นี้ ซึ่งจะมีรายละเอียดครอบคลุมประเด็นสำคัญหลายประการ อาทิเช่น ทัศนะของประชาชนต่อกลไกในกระบวนการยุติธรรม ทัศนะต่อข้อเสนอทางการเมืองการปกครอง ตลอดจนความคิดเห็นต่อประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอและการพูดคุยเพื่อสันติภาพ/สันติสุข เป็นต้น
แม้ว่าการพูดคุยสันติภาพ/การพูดคุยเพื่อสันติสุขระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้เห็นต่างกำลังได้รับการรื้อฟื้นอย่างจริงจัง แต่ก็ยังมีเรื่องท้าทายอยู่อีกไม่น้อย ที่สำคัญการสร้างสันติภาพที่จำกัดการใช้ความรุนแรงนั้นต้องอาศัยความร่วมมือของผู้คนในสังคมอย่างกว้างขวาง การจะทำให้กระบวนการสันติภาพสามารถแสวงหาทางออกที่ยั่งยืนนั้นจำต้องแผ่ร่มเงาออกไปให้มากที่สุดและดึงผู้คนให้ก้าวเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ การให้ความสนใจเสียงของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งสะท้อนความคิดเห็น ความต้องการ และความกังวลใจจะมีส่วนในการประเมินสถานการณ์และความเป็นไปได้ในการสถาปนาเครือข่ายนิรภัยหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพ หรือ “safety net” ที่จะคอยค้ำจุนในกระบวนการเดินหน้าไปอย่างมีความหมายต่อคนทุกกลุ่ม ตลอดจนสร้างแรงเหวี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดรับกับความต้องการและความเป็นจริงมากที่สุด
อ่านผลการสำรวจครั้งก่อน
ผลสำรวจมีนาคม 2556 – มุมมองของประชาชนชายแดนใต้: ‘ความหวัง’ ในสถานการณ์ความรุนแรงอันยืดเยื้อใต้ร่มเงาแห่ง ‘สันติภาพ’ (http://www.deepsouthwatch.org/node/4147)
ผลสำรวจมิถุนายน 2556 – เปิดผลโพลล์ชายแดนใต้รอบสอง หนุนการพูดคุยสันติภาพเพิ่มขึ้น (http://www.deepsouthwatch.org/node/4397)