Suha กำลังจูบลูกสาวของเธอ Maaesa Alroustom ในขณะที่ Hussam สามีกำลังนั่งอยู่กับ Wesam ลูกชายในอพาร์ทเมนต์เมือง Jersey รัฐนิวเจอร์ซี่ พวกเขาเป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามร้ายแรงในประเทศซีเรีย
แปลและเรียบเรียง: ณัฐชานันท์ กล้าหาญ
ปารีสต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียหลังการก่อวินาศกรรมที่ไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน มันคือวันศุกร์ย่ำค่ำที่ผู้คนหดหู่เกินเอ่ยคำว่า TGIF (Thank God It’s Friday – การพูดเพื่อแสดงความโล่งใจจากการงาน) ทั้งนักการเมืองและประชาชนชาวอเมริกันต่างเรียกร้องให้ใครสักคนออกมารับผิดชอบจัดการกับ อะไรสักอย่าง
แต่คำถามคือพวกเขาต้องการให้จัดการอะไร และทำไมถึงต้องมีการจัดการเกิดขึ้น จุดเล็กๆ เหล่านี้ต่างหากที่เป็นปริศนาลอยเคว้งอยู่ในอากาศ
ผู้ว่าการรัฐและผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีพรรคริพับลิกัน (GOP presidential candidates) จำนวนหนึ่งขวัญผวา และโต้ตอบกับเหตุการณ์ในสัปดาห์นี้โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย มีการตั้งมาตรการการปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศของผู้ลี้ภัย แม้พวกเขาจะมีหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลยกับการก่อวินาศกรรมที่กรุงปารีส
พนักงานสืบสวนพบหนังสือเดินทางสัญชาติซีเรียตกอยู่ใกล้ๆ กับซากมือระเบิดพลีชีพ (suicide bombers) ถึงแม้พวกเขาออกมาประกาศภายหลังว่า หนังสือเดินทางเป็นของปลอมแปลง ทว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นหน่วยงานยุโรปทั้งหมดและเจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันคนหนึ่งก็แสดงทัศนะว่า กลุ่มขบวนการรัฐอิสลาม (Islamic State) หรือที่เราคุ้นเคยกันในนาม ISIS ที่ควรได้รับบทลงโทษอย่างสาสมกับเหตุการณ์นี้ อาจมีอุบายการใช้หนังสือเดินทางซีเรียเพื่อเป็นเครื่องมือการจัดฉากให้เข้าใจว่า ผู้ก่อการโจมตีกรุงปารีสคือผู้อพยพ ทั้งนี้ก็เพื่อเร่งความหวาดกลัวต่ออิสลาม ที่มีต่อผู้ลี้ภัยให้ลุกโชนขึ้นไปอีก
สมมติฐานนี้ก็ดูเป็นไปได้ หากเดินตามเป้าประสงค์ของขบวนการรัฐอิสลามที่ต้องการให้เกิด ‘การปะทะกันระหว่างอารยธรรม’ (clash of civilizations) ระหว่างโลกมุสลิมกับโลกตะวันตก และไม่ว่าอุบายหนังสือเดินทางจะเป็นเจตนาส่วนหนึ่งของแผนการหรือไม่ เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการก็เผยแล้วว่า เรากำลังหยิบยื่นสิ่งที่กองกำลังทหารฝ่ายนั้นต้องการโดยการประกาศเป็นศัตรูกับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย มนุษย์ที่ก็ลี้หนีการก่อการร้ายและสงครามมาไม่ต่างกัน
เจตนาที่ต้องการให้ประชาชนระมัดระวังต่อการก่อการร้ายมากขึ้นนั้นทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แต่พื้นที่สื่อยังมีร่องรอยของการใช้วาจาชี้นำต่างๆ จากใครก็ตามที่ตัดสินไปแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียจำนวนเป็นหมื่นคน (จากจำนวนผู้ลี้ภัยมากกว่า 4 ล้านคน) เข้ามาสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย การกระทำเช่นนี้เหมือนเป็นการสร้างวาทกรรมความเกลียดชังต่อชาวซีเรียมากกว่าการเฝ้าระวังการก่อการร้าย
ในขณะที่เรากำลังถกเถียงกันว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ชาวซีเรียจะอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายครั้งนี้ Mike Huckabee อดีตผู้ว่าการมลรัฐอาร์คันซอ (former Arkansas Gov.) สมาชิกพรรคริพับลิกันของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ชิงกล่าวไว้แล้วว่า ให้ชาวอเมริกัน “ตื่นตัวและตามกลิ่นพวกผู้ลี้ภัยชาวอาหรับได้แล้ว” (ในบทความใช้คำว่า Falafel เป็นอุปมาถึงผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง มีความเข้าใจว่า Falafel เป็นอาหารหลักของชาวอาหรับ เขากล่าวเสริมว่ามันมีกลิ่นทะแม่งๆ ในนโยบายการรับคนเข้าเมือง ผมคิดว่าเรากำลังนำเข้าการก่อการร้าย)
Huckabee เชื่อมั่นว่า “เทพีเสรีภาพกล่าวว่า ‘นำความเหน็ดเหนื่อยและความอิดโรยของท่านมาให้แก่ฉัน’ (bring us your tired and your weary) ไม่ใช่ ‘นำผู้ก่อการร้ายเข้ามาและวางระเบิดใส่บ้าน ร้านกาแฟและหอประชุมแห่งมหรสพของเรา’”
การป้ายสีคนกลุ่มหนึ่งด้วยการบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นคนอิสลาม พวกเขาจึงมีโอกาสเป็นผู้ก่อการร้ายสูง ไม่ต่างอะไรกับการบิดเบือนการรับรู้ของประชาชนให้คิดว่าผู้ลี้ภัยชาวซีเรียคือศัตรูนับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เหมือนว่ากองกำลังทหารของขบวนการรัฐอิสลามจะลงทุนปลอมตัวใส่หน้ากากชั่วคราว แล้วแต่งตัวให้เข้ากับประเทศเพื่อสมัครเป็นผู้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา ผ่านด่านการคัดกรองที่เข้มงวดซึ่งอาจใช้เวลาสูงสุดถึง 2 ปี แล้วจึงเข้ามาสร้างที่ทางในสหรัฐอเมริกา มากไปกว่านั้น พวกเขาจะต้องปฏิบัติภารกิจสายลับต่างๆ ให้พ้นจากสายตาของการตรวจตราในเมืองนั้นๆ อีกด้วย
ถ้าสมมติฐานเหล่านี้ดูเป็นเรื่องไร้สาระ ก็เพราะว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ขบวนการรัฐอิสลามจะทำงานง่ายขึ้นเยอะเลย แค่พวกเขาส่งสายลับที่ถือวีซาท่องเที่ยวเข้ามาปฏิบัติการ
แต่ในกรณีที่หลายคนโดนสะเก็ดความหวาดกลัวเหล่านี้และปักใจเชื่อไปส่วนหนึ่งแล้วอย่างที่ชาวอเมริกันหลายๆ คนเชื่อ บทความนี้จะนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเพื่อเปลี่ยนการเหมารวมว่าผู้อพยพชาวซีเรียเป็นพวกสุดโต่งหัวรุนแรง หรือเป็นชายฉกรรจ์ชาวมุสลิมซึ่งหลบเข้ามาในสหรัฐฯ เพื่อทำสงครามศาสนาในประเทศนี้
นี่คือข้อมูลของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่เรามี พวกเขาหนีออกจากบ้านของตัวเอง และออกจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) มาเพื่อเป็นผู้ลี้ภัย
ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่หลบหนีออกมาสามารถแบ่งได้เป็นผู้หญิง 50 คนและผู้ชาย 50 คน เกือบร้อยละ 40 ของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียทั้งหมดมีอายุต่ำกว่า 11 ปี และมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่อายุต่ำกว่า 17 ปี อีกร้อยละ 22 ที่เหลือเป็นผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี
ท่ามกลางผู้ลี้ภัยชาวซีเรียกว่า 800,000 คนที่เดินทางมายุโรป จริงอยู่ที่ส่วนมากเป็นผู้ชาย พวกเขามักต้องเสี่ยงอพยพข้ามทะเลมาทางประเทศกรีซหรืออิตาลี และถึงแม้ว่าผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในเขตแดนของยุโรปประมาณร้อยละ 50 จะเป็นชาวซีเรีย แต่สัดส่วนนี้ก็รวมถึงผู้ลี้ภัยจากอัฟกานิสถาน อิรัก เอริเทรีย ไนจีเรีย และชาติอื่นๆ ที่ต่างประสบปัญหาความสั่นคลอนและความรุนแรงจากประเทศของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าสถิติทางประชากรของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่อพยพเข้ามาจะมากหรือน้อยเพียงใด ชาวอเมริกันก็มีท่าทีหวาดกลัวและไม่พอใจกับความเป็นมุสลิมโดยที่พวกเขาอาจหลงลืมพื้นฐานทางมนุษยธรรมบางข้อที่เป็นแก่นของการโต้เถียงอย่างมีเหตุมีผล
ชาวซีเรียมากกว่า 200,000 คนเสียชีวิตท่ามกลางสงครามกลางเมือง (civil war) ที่ลากยาวกว่า 4 ปีครึ่งในประเทศของตัวเอง สงครามคร่าชีวิตพลเรือนอีกหลายหมื่นคนในนั้นและนั่นคือสาเหตุที่พวกเขาหลบหนีออกมาอย่างสิ้นหวัง
และหากมีใครที่กำลังเคลือบแคลงแนวคิดที่สหรัฐอเมริกากำลังจัดหาที่หลบภัยให้กับผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบตะวันออกกลางมาก่อน พวกเขาอาจสนใจตัวเลขร้อยละ 2 นี้ซึ่งคือสัดส่วนของผู้ชายตัวคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้จากผู้ลี้ภัยชาวซีเรียกว่า 2,000 คนตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (State Department)
ที่มา+ภาพ http://www.huffingtonpost.com/entry/dangerous-syrian-refugees-photos_564baae2e4b08cda348b5499
http://www.businessinsider.com/mike-huckabee-syrian-refugees-paris-falafel-2015-11
http://www.theatlantic.com/magazine/archive/2015/03/what-isis-really-wants/384980/