23 ธ.ค. 2558 กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมไทยที่ตรวจสอบการลงทุนของไทยในต่างแดน ประกอบด้วย ศูนย์ข้อมูลชุมชน องค์กรแม่น้ำนานาชาติ และเสมสิกขาลัย เผยแพร่แถลงการณ์ “เอ็นจีโอร้องรัฐบาลไทยกำกับการลงทุนในต่างแดน ก่อนศาลตัดสินคดีเขื่อนไซยะบุรี” ลงวันที่ 22 ธ.ค. 2558 ระบุรายละเอียด ดังนี้
กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมไทยตรวจสอบการลงทุนของไทยในต่างแดนเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งบังคับใช้กฎหมายการลงทุนในต่างแดนพร้อมจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการลงทุน เพื่อป้องกันความเสียหายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดจากโครงการลงทุนต่างๆ ของไทยในต่างประเทศ และเพื่อปกป้องชื่อเสียงของชาติ
“ผู้ประกอบการไทยกำลังเดินหน้าก่อสร้างโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ชุมชนต่างๆ ในประเทศไทยประท้วงคัดค้าน อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ไม่ได้มาตรฐานตามกฎหมายไทย แต่กลับนำไปสร้างในประเทศเพื่อนบ้านที่มีกระบวนการยุติธรรมที่อ่อนแอกว่า เช่น เขมร ลาว และพม่า” อารีวัณย์ สมบุญวัฒนกุล เสมสิกขาลัย กล่าว
กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมได้ออกแถลงการณ์ข้อเรียกร้องนี้ ในระหว่างรอฟังคำตัดสินของศาลปกครองในอีก 3 วันข้างหน้า กรณีกลุ่มชาวบ้านไทยที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้ยื่นฟ้องคัดค้านข้อตกลงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานรัฐอีก 4 องค์กรที่ลงนามจัดซื้อไฟฟ้าร้อยละ 90 จากกำลังผลิตของเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศลาวและอยู่ระหว่างก่อสร้างโดยการลงทุนของบริษัทสัญชาติไทย ในวงเงิน 3,500 ล้าน ดอลล่าร์สหรัฐฯ (กว่า 1 แสนล้านบาท)
แถลงการณ์ระบุว่า คดีเขื่อนไซยะบุรี เป็นที่จับตาของสาธารณะในระดับภูมิภาคและระดับโลก เนื่องจากสะท้อนข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ต่อวิถีชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำเพื่อการอยู่รอด เช่น ความเสียหายต่อพันธุ์ปลา การไหลเวียนของลำน้ำและตะกอนดิน การกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ท้ายน้ำของเขื่อน เป็นต้น
พื้นที่สองฝั่งริมแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 60 ล้านคน และเป็นชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรจากแม่น้ำเพื่อความมั่นคงทางอาหารและการอยู่รอด ยังมีงานศึกษาไม่เพียงพอเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ และปัจจุบัน ยังไม่มีการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบข้ามแดนด้านสิ่งแวดล้อม (transboundary EIA)
นอกจากนี้ ชุมชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้านยังถูกปฏิเสธสิทธิในการร่วมปรึกษาหารือ และไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและข้อห่วงใยเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการพัฒนาจะคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของชุมชน
ผู้ลงทุนโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง ซึ่งเป็นผู้นำการลงทุนและผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมีธนาคารไทย 6 แห่งที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการนี้ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทิสโก้ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์)
“ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายป้องกันการลงทุนที่ไร้ความรับผิดชอบในต่างแดน ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศเพื่อนบ้านของเรายังมีสถาบันทางกฎหมายไม่เพียงพอต่อการกำกับการลงทุน และประชาคมอาเซียนก็ล้มเหลวในการสร้างกรอบกติการะดับภูมิภาคเพื่อกำกับดูแลมาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการลงทุน” ส.รัตนมณี พลกล้า ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลชุมชน ระบุ
“ยกตัวอย่างเช่น ประเทศพม่าและเขมร ปัจจุบันยังไม่มีกรอบกฎหมายเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และประเทศลาว เขมร และพม่า ยังขาดสถาบันที่มีศักยภาพเพียงพอต่อการตรวจสอบทบทวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่” ส.รัตนมณี กล่าว
เพียรพร ดีเทศน์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ กล่าวเสริมว่า “ครั้งนี้เป็นโอกาสของรัฐไทยที่จะเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในการปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดีที่สุด (best practices) โดยออกกฎหมายเรื่องการลงทุนในต่างแดน และจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลการลงทุนไทยในต่างประเทศ”
ทั้งนี้ วันที่ที่ 25 ธ.ค. 2558 เวลา 8.30 น เครือข่ายชาวบ้าน 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง กว่า 40 คน จะเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาศาลปกครอง คดีที่ชาวบ้านริมโขง 37 คน ฟ้อง กฟผ.และ 4 หน่วยงานรัฐ กรณีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ และหลังจากทราบผลคำวินิจฉัยจะมีการเปิดแถลงข่าว
ข้อมูลพื้นฐาน คดีเขื่อนไซยะบุรี
ลำดับเหตุการณ์ โครงการเขื่อนไซยะบุรี |