พอช.เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวแพสะแกกรัง จ.อุทัยธานี

พอช.เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวแพสะแกกรัง จ.อุทัยธานี


วิถีชีวิตชาวแพสะแกกรัง  มีเรือเป็นพาหนะสัญจรไปมาทางน้ำ  เลี้ยงปลาในกระชัง  จับปลาในแม่น้ำเป็นอาหาร  ใช้ชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง  เพราะคนรุ่นใหม่ขายแพขึ้นไปอยู่บนฝั่ง  ทำให้ชุมชนชาวแพลดน้อยลง

อุทัยธานี / พอช. เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรัง  จ.อุทัยธานี   โดยสนับสนุนการซ่อมสร้างแพที่ชำรุดทรุดโทรมเฟสสุดท้าย  รวม 127 หลัง  ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน  สร้างอาชีพ  สร้างรายได้ จำหน่ายสินค้าที่ระลึก  ทำอาหารปลา  แปรรูปปลา  สะสมทุนสร้างกลุ่มออมทรัพย์  เพื่ออนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนชาวแพแห่งสุดท้ายของประเทศเอาไว้

ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรัง  ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี  จ.อุทัยธานี  ปัจจุบันมีผู้อยู่อาศัยในแพประมาณ 150 หลัง  ถือเป็นชุมชนชาวแพแห่งสุดท้ายของประเทศไทย  เพราะชุมชนชาวแพในจังหวัดอื่น  เช่น  ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำน่าน  จ.พิษณุโลก  กว่า 100 หลัง  ถูกทางราชการโยกย้ายให้ออกจากแม่น้ำน่านตั้งแต่ปี 2541 เพราะทางราชการมองว่าชุมชนชาวแพปล่อยน้ำเสีย  ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำ  ทำให้น้ำสกปรก  นอกจากนี้ยังกีดขวางทางเดินของน้ำ

2
กลุ่มเรือนแพหน้าวัดอุโปสถาราม  ด้านซ้ายคือตลาดเทศบาลเมืองอุทัยธานี  ภูเขาที่เห็นคือ ‘เขาสะแกกรัง’

ภาคีฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนชาวแพสะแกกรัง

ขณะที่ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรังได้รับการสนับสนุนจากภาคีหลายภาคส่วนเพื่อร่วมกันอนุรักษ์ชุมชนชาวแพแห่งสุดท้ายของประเทศเอาไว้  เพราะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด และยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว  เช่น  จังหวัดอุทัยธานี  เทศบาลเมืองอุทัยธานี  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  สำนักงานเกษตรจังหวัด  ชลประทานจังหวัด  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  หรือ ‘พอช.’ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรังต่างได้รับผลกระทบเนื่องจากปัญหาความแห้งแล้ง  ปริมาณน้ำในแม่น้ำสะแกกรังลดน้อยลง  ทำให้เรือนแพจำนวนมากได้รับความเสียหาย  เพราะเรือนแพที่เคยอยู่ในน้ำ  เมื่อน้ำแล้งแพจะเกยตื้น ลูกบวบไม้ไผ่ที่รองหนุนแพจะแตกหัก

นอกจากนี้เมื่อน้ำในแม่น้ำแห้งแล้ง  จะทำให้น้ำไม่ไหลเวียน  ออกซิเจนในน้ำมีน้อย  ส่งผลกระทบต่อปลาที่เลี้ยงในกระชัง  เพราะจะทำให้ปลาตาย  ชาวแพที่มีอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังต้องสูญเสียรายได้  และยังส่งผลถึงชาวประมงในแม่น้ำสะแกกรังที่หาปลาได้น้อยลง  รวมถึงแม่ค้าที่มีอาชีพขายปลาต่างได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่

ขณะเดียวกันเมื่อน้ำแล้ง  กอผักตบชวาจะไหลมารวมกันหนาแน่น  ทำให้กีดขวางเรือที่สัญจรไปมาในแม่น้ำสะแกกรัง  เรือพายไม่สามารถแหวกผ่านได้  ส่วนเรือที่ติดเครื่องยนต์ใบพัดก็จะติดพันกับกอผักตบและสวะใต้น้ำ  ทำให้การสัญจรทางเรือลำบาก  ฯลฯ

3
สภาพแพที่เกยตื้นในช่วงปี 2563  เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำสะแกกรังลดน้อยลง  ทำให้น้ำหนักของตัวเรือนแพกดทับลูกบวบไม้ไผ่จนแตกหัก

ปัญหาดังกล่าว  ชาวชุมชนชาวแพได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนและหน่วยงานในท้องถิ่นตั้งแต่ช่วงปี 2562  จนในปี 2563  นายจุติ  ไกรฤกษ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ในขณะนั้น) จึงให้หน่วยงานในสังกัด  คือสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุทัยธานี (พมจ.) ร่วมกับจังหวัดอุทัยธานี  เทศบาลเมืองอุทัยธานี  เกษตรจังหวัด  ชลประทานจังหวัด  ฯลฯ  จัดทำแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรัง

โดย พอช.ร่วมกับหน่วยงานในท้องถิ่นเริ่มสำรวจข้อมูลชุมชนชาวแพตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563   เช่น  ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับชุมชนชาวแพ  สำรวจข้อมูลปัญหาและความต้องการ  จัดทำแผนที่ทำมือ  ถ่ายรูปเรือนแพ  จับพิกัด GPS  ถอดแบบรายการการซ่อมแซมเรือนแพผู้เดือดร้อน  ฯลฯ  โดยมีผู้แทนชุมชนชาวแพจำนวน 13 คนร่วมเป็นคณะทำงาน

จากการสำรวจข้อมูลชุมชนชาวแพทั้งหมด  127 ครัวเรือน  ประชากรประมาณ 300 คนเศษ  ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป  ค้าขายในตลาด  เลี้ยงปลาในกระชัง  จับปลาในแม่น้ำ  ฯลฯ  พบปัญหาและความต้องการรวม 8 ด้าน  เช่น  ปัญหาน้ำแล้ง   สิ่งแวดล้อม  ที่อยู่อาศัย  การจัดการท่องเที่ยวชุมชน  คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ  ผู้พิการ  เด็ก ผู้ด้อยโอกาส  อาชีพ  รายได้  ด้านวัฒนธรรม  และการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน  โดย พอช.มีแผนงานจะสนับสนุนให้ชุมชนชาวแพซ่อมแซมเรือนแพก่อน  เพราะส่วนใหญ่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมเนื่องจากก่อสร้างมานาน  ลูกบวบที่ใช้พยุงแพซึ่งส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ไผ่ชำรุดแตกหัก

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2563  หน่วยงานต่างๆ  ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดอุทัยธานีและสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ รวม 16 หน่วยงานได้จัดพิธี ‘ลงนามความร่วมมือการพัฒนาที่อยู่อาศัยชาวแพสะแกกรังและโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองและชนบทจังหวัดอุทัยธานี’  เพื่อร่วมกันเดินหน้าฟื้นฟูชุมชนชาวแพ

การซ่อมแซมเรือนแพจำนวน 127 หลัง  เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2563  โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณในการซ่อมแซมเรือนแพเฉลี่ยหลังละ 40,000 บาท  ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนไม้กระดานปูพื้นแพที่ผุพัง  หลังคาสังกะสี  ลูกบวบไม้ไผ่  ฯล  หากเกินงบสนับสนุนเจ้าของแพจะสมทบเอง  โดยมีช่างชุมชนและจิตอาสาจากจังหวัดต่างๆ  ประมาณ 80 คนหมุนเวียนมาช่วยกัน  ทำให้ประหยัดค่าแรงงานได้หลังละหลายพัน  หลายหมื่นบาท

เช่น  บางหลังรื้อหลังคา  ทำฝาบ้านใหม่  เพราะแพหลังเดิมผุพังทั้งหลัง  ระดมช่างมาช่วยกัน 10 คน  หากคิดค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท  ช่วยกันทำ 3 วัน  จะประหยัดเงินได้ไม่ต่ำกว่า 9,000 บาท

4
5
แพที่ช่างชุมชนและจิตอาสาช่วยกันซ่อมในปี 2564

ซ่อมแพเฟสสุดท้าย 37 หลัง-สร้างเศรษฐกิจชาวแพ

นอกจากการซ่อมแซมเรือนแพจำนวน 127 หลัง/ครัวเรือนแล้ว  พอช.ยังสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดทำแพกลางของชุมชนเพื่อเป็นที่ประชุมและจัดกิจกรมต่างๆ  สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อม  บำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยทิ้ง   ส่งเสริมอาชีพ  ฟื้นฟูภูมิปัญญาชาวแพ  ส่งเสริมศิลปะ  วัฒนธรรม  ส่งเสริมการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน  ฯลฯ  ใช้งบประมาณทั้งหมด 7,350,000 บาท  (เฉลี่ยครัวเรือนละ 58,000 บาท)

แววดาว  พรมสุทธิ์  รองประธานโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบ้านมั่นคงชนบทชาวแพสะแกกรัง  บอกว่า  การซ่อมแพจำนวน 127 หลังเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2563  เป็นต้นมา  และส่วนใหญ่ซ่อมเสร็จตั้งแต่ช่วงปี 2564-2565  โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณไม่เกินหลังละ 40,000 บาท  หากหลังไหนที่ต้องซ่อมแซมมาก  เช่น  เปลี่ยนลูกบวบ  หรือซ่อมทั้งหลังซึ่งต้องใช้งบเกินกว่านั้น  เจ้าของบ้านก็จะต้องออกส่วนเกินเอง  และ พอช.ไม่ได้ช่วยเหลือเป็นเงินสด  แต่จะให้ชุมชนรวมกลุ่มกันสั่งซื้อวัสดุมาซ่อมแซม

6
ใช้เหล็กและถังพลาสติกขนาด 200 ลิตร (ราคาใบละ 550 บาท) แทนบวบไม้ไผ่  แพหนึ่งหลังจะต้องใช้ถังพลาสติกไม่ต่ำกว่า 10 ลูกตามขนาดของแพ  ส่วนค่าจ้างช่างจะคิดราคาเหมาตามจำนวนลูกบวบๆ ละ 4,500 บาท  แพหนึ่งหลังจะมีลูกบวบประมาณ 3-4 ลูกขึ้นไป  หากเปลี่ยนลูกบวบทั้งหมด รวมค่าวัสดุและค่าแรงไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท/แพ

                “นอกจากนี้ยังมีแพบางหลังที่ใช้งบประมาณในการซ่อมไม่ถึง 40,000 บาท  จึงทำให้มีงบประมาณเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง  ทางคณะกรรมการโครงการฯ จึงมีมติให้นำงบประมาณที่เหลือมาซ่อมแพที่ยังซ่อมไม่เรียบร้อยสมบูรณ์  เช่น  เปลี่ยนหลังคาบ้าน  ฝาบ้าน  พื้นบ้านที่ผุพัง  หรือบางหลังเปลี่ยนจากลูกบวบไม้ไผ่เป็นถังพลาสติกเพื่อความทนทานไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ  ถือเป็นการซ่อมแพเฟสสุดท้าย”  แววดาวบอก

เธอบอกด้วยว่า  การซ่อมแพเฟสสุดท้ายมีทั้งหมด 37 หลัง  เริ่มซ่อมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา  และจะทยอยซ่อมให้เสร็จโดยเร็ว

7

ใช้โครงเหล็กและถังพลาสติกแทนบวบไม้ไผ่เพื่อรับน้ำหนักแพ  ช่างจะต้องลอยคอในน้ำเพื่อดันลูกบวบเหล็กเข้าไปสอดใต้แพ  หากเป็นลูกบวบไม้ไผ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-4 ปี  แต่เหล็กและถังพลาสติกจะทนทานไม่ต่ำกว่า 10 ปี

นอกจากนี้ยังมีโครงการต่างๆ ที่ พอช.สนับสนุนการฟื้นฟูชุมชนชาวแพที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ  เช่น  งานประเพณีสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนนี้  จะจัดให้มีพิธีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ  คนเฒ่าคนแก่  โดยจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาร่วมสืบสานประเพณี

มีโครงการส่งเสริมอาชีพและเศรษฐกิจชุมชนชาวแพ  โดยจะทำแพร้านค้าชุมชนชาวแพ  จำหน่ายสินค้าที่ระลึกจากเศษผ้า  เช่น  ย่าม  และของชำร่วยต่างๆ   ทำอาหารปลาอัดเม็ดจากรำข้าว  เพื่อขายให้คนเลี้ยงปลาในกระชัง  และให้นักท่องเที่ยวซื้อไปให้อาหารปลาในแม่น้ำสะแกกรัง   นำปลามาแปรรูปทำปลาย่าง  ปลาแห้ง  น้ำพริกจากปลา  ขายในตลาดและแพร้านค้าชุมชน  ฯลฯ  โดย พอช.สนับสนุนประมาณ 300,000 บาท

8
‘ป้าแต๋ว’ ต้นแบบคนแพสะแกกรังที่ทำปลาย่าง ปลารมควัน  น้ำพริกปลาย่าง  ฯลฯ ขายบนแพตั้งแต่ยังสาว 

ต่อยอดกองทุนชาวแพ…แลอนาคตข้างหน้า

แววดาว บอกว่า  นอกจากการสนับสนุนของ พอช. ดังกล่าวแล้ว  พอช.ยังสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นกองทุนของชาวแพ  ใช้ชื่อว่า “กลุ่มออมทรัพย์ลุ่มน้ำสะแกกรัง” โดยให้สมาชิกชาวแพที่ได้รับการซ่อมแพจำนวน 127 ครัวเรือน  ร่วมกันออมเงินเข้ากลุ่มเดือนละ 50 บาท/ครอบครัว  เริ่มออมตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563  แล้วนำเงินออมมาให้สมาชิกที่เดือดร้อนกู้ยืม  เช่น  นำไปประกอบอาชีพ  ปรับปรุงเรือนแพ  ฯลฯ  คิดดอกเบี้ยเพื่อเป็นรายได้เข้ากลุ่มร้อยละ 1 บาท/เดือน  ที่ผ่านมาปล่อยกู้ให้สมาชิกไปแล้ว  รวมเป็นเงินประมาณ 150,000 บาท   ปัจจุบันกลุ่มออมทรัพย์มีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 100,000 บาทเศษ

“เราวางแผนงานว่า  โครงการต่างๆ ที่ พอช.สนับสนุน  ทั้งการซ่อมแพ  แพร้านค้า  การส่งเสริมอาชีพต่างๆ และการท่องเที่ยวชุมชน  จะทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้  และจะทำต่อไป  เพราะเรามีกองทุนชาวแพของเราแล้ว  เมื่อมีรายได้จากกลุ่มต่างๆ เช่น  จากการขายของที่ระลึก  ขายอาหารปลา  จะนำกำไร 5 เปอร์เซ็นต์มาเข้ากลุ่มออมทรัพย์  เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน  ทำให้กลุ่มและกองทุนของชาวแพเติบโตต่อไป”  แววดาวรองประธานโครงการฯ บอกถึงแผนงานที่กำลังจะเดินหน้า

9
นักท่องเที่ยวนิยมตักบาตรริมน้ำสะแกกรัง  และเยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวแพ

                สันทนา  เทียนน้อย  ประธานชุมชน 7 ลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง  บอกว่า  เดิมเรือนแพในแม่น้ำสะแกกรังที่ขึ้นทะเบียนกับกรมเจ้าท่ามีทั้งหมด 301 แพ  แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 154 แพ/หลัง  เนื่องจากชาวแพรุ่นเก่าๆ ล้มหายตายจากไป  ลูกหลานไปเรียนหรือทำงานอยู่ในเมืองหรือต่างจังหวัดจึงไม่ได้อยู่อาศัย  บางแพปล่อยให้ผุพังเสื่อมโทรม  บางแพก็เปลี่ยนมือ  ขายให้คนอื่น  หรือบางแพที่เคยผูกแพอยู่หน้าท่า  หน้าที่ดินของคนอื่น  เมื่อเจ้าของขายที่ดิน  หรือนำที่ดินไปปลูกสร้างอาคาร  บ้านพัก  รีสอร์ท ทำให้ชาวแพไม่มีทางขึ้น-ลง  ไม่มีหน้าท่าเอาไว้จอดแพ จึงจำต้องขายแพหรือย้ายขึ้นไปอยู่ที่อื่น  แพจึงค่อยๆ ลดจำนวนลง

“นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องความแห้งแล้ง  ทำให้แม่น้ำสะแกกรังมีน้อย  น้ำไม่ถ่ายเท  แพเกยตื้น  ลูกบวบไม้ไผ่แตกหัก  การซ่อมแพต้องใช้เงินเยอะ  3-4 ปีก็ต้องเปลี่ยนลูกบวบใหม่อีก  ไม้ไผ่  ไม้ต่างๆ ก็แพง  คนอยู่ก็ลำบาก  จึงต้องขายแพหรือย้ายขึ้นไปอยู่บนฝั่ง  ทำให้แพลดน้อยลง  บางคนก็ขายแพให้นายทุนเอาไปทำรีสอร์ท  ทำที่พัก…อีกหน่อยชุมชนชาวแพก็จะหายไป  พวกเราจึงต้องช่วยกันรักษาชุมชนชาวแพเอาไว้”  สันทนา  ประธานชุมชน 7 ลุ่มแม่น้ำสะแกกรังบอกทิ้งท้าย

10
11
เสน่ห์แห่งลำน้ำและวิถีชาวแพสะแกกรังที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ