“แรงงานไม่มีประวัติศาสตร์” นิทรรศการและเวทีเสวนาชื่อชวนตั้งคำถาม ที่ว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์และความเคลื่อนไหวของขบวนกรแรงงาน จัดโดยมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) ร่วมกับ มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มูลนิธิศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เปิดงานอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา
ตามโครงการนิทรรศการประวัติศาสตร์แรงงานไทยเยอรมัน ระหว่างวันที่ 6-11 ก.ย. 2559 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อเผยแพร่ข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของขบวนการแรงงานไทยและเยอรมันสู่สาธารณะ และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการการส่งเสริมความรู้ประวัติศาสตร์สาธารณะด้านแรงงาน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับประเด็นแรงงานร่วมสมัย และนำบทเรียนอาจอดีตมาใช้วิเคราะห์แนวทางสำหรับการพัฒนาในอนาคต
สตีเน่อ คลัพเพอร์ (Ms.Stine Klapper) ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ตัวแทนคณะผู้จัดงานกล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานว่า เราเชื่อว่าประวัติศาสตร์ที่ดีทำให้ปัจจุบันดีขึ้นได้ และประวัติศาสตร์สร้างแรงกระตุ้นให้เรานึกถึงการต่อสู้ในอดีต ขบวนการแรงงานทั้งไทยและเยอรมันต่างผ่านช่วงเวลาที่มืดมนและช่วงเวลาแห่งชัยชนะ เราได้เห็นการจ้างงานที่ดีขึ้นในช่วงเวลาการต่อสู้กว่า 150 ปี จนถึงปัจจุบันที่แรงกดดันทางเศรฐกิจมากขึ้น การผสานพลังของผู้ใช้แรงงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นไปอย่างไร้พรมแดน แต่ไม่ใช่การเอาวิธีการจากประเทศหนึ่งมาใช้อีกประเทศหนึ่ง แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน
สตีเน่อ กล่าวด้วยว่า บทบาทของสหภาพแรงงานต้องก้าวไปไกลกว่าบทบาทในบริษัท ไกลกว่าเรื่องของเงินเดือนหรือสวัสดิการแรงงาน แต่แรงงานต้องมีบทบาทในทางสังคม เช่น เรื่องสันติภาพ เสรีภาพ เธออยากเน้นถึงเรื่องการเรียนรู้อดีต เพื่อใช้ในปัจจุบัน และวางแผนสำหรับอนาคต
ขบวนการแรงงานเยอรมัน :
จากก้าวย่างสู่ทุนนิยม ถึงหลังกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย
แฟรงค์ ซาค (Mr. Frank Zach) สมาพันธ์แรงงานเยอรมัน (DGB) กล่าวในวงเสวนาประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานเยอรมัน ถึงความเคลื่อนไหวในห้วงเวลากว่า 150 การต่อสู้ของแรงงานเยอรมันว่า ในยุคที่ทุนนิยมเริ่มก่อตัว ชนชั้นแรงงานไม่ได้มีอะไรไปต่อสู้กับชนชั้นนายจ้าง การใช้แรงงานเด็กในช่วงนั้นไม่มีการต่อรอง ไม่มีเรื่องของสิทธิมนุษยชน ไม่เหมือนในทุกวันนี้ ต่อมาจึงเริ่มมีกฎหมายที่พูดถึงเงื่อนไขการจ้างงานในรูปแบบต่างๆ แต่กฎหมายก็ยังไม่เปิดให้ตั้งสมาคมหรือนัดหยุดงาน (strike) ขณะที่แรงงานเองก็เริ่มตระหนักว่าการต่อสู้คือ ‘การรวมตัวต่อรอง’ เพื่อให้มีสภาพการจ้างงานที่ดีขึ้น การรวมกลุ่มครั้งแรกจึงเกิดขึ้นในรูปแบบ สมาคมการศึกษาซึ่งตั้งโดยนักกิจกรรม
ต่อมาการกดดันโดยทุนนิยมและการเมืองมีมากขึ้น การรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานก็มีข้อเรียกร้องมากขึ้น ในปี 1816 แรงงานเรียกร้องสิทธิในการรวมตัว และข้อเรียกร้องแรกๆ ของพวกเขาคือเงินเดือน และสภาพแวดล้อมในการจ้างงาน ขณะนั้นแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอและอุตสาหกรรมโลหะเริ่มเข้มแข็ง เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแม้สมาชิกจะยังมีจำนวนน้อย ต่อมาในปี 1870 รัฐบาลมีปฏิกิริยาต่อต้าน โดยการออกกฏหมายต่อต้านสังคมนิยม (ปี 1878) การเคลื่อนไหวของแรงงานเพื่อเรียกร้องสิทธิและสวัสดิการจึงกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่พรรคโซเชียล เดโมแครต (Social Democrats) ถูกกดดันโดยรัฐ เยอรมันก็ได้กลายเป็นรัฐสวัสดิการ และในปี 1886 สมาชิกสหภาพแรงงานได้เพิ่มขึ้นจาก 2 แสนกว่าคน เป็น 2.8 ล้านคน
แฟรงค์ กล่าวต่อมาถึงเรื่องสิทธิของสหภาพแรงงานและสิทธิแรงงานว่า ในยุคปฏิวัติเยอรมัน (เริ่มต้นสู่การปฏิวัติในปี 1848) เกิดก่อตั้งสมาคมคนงานครั้งแรก ในขณะนั้นฝ่ายซ้ายต้องการปฏิวัติแบบรัสเซีย ส่วนฝ่ายเสรีนิยม (Liberalism) เห็นต่างออกไป ขณะที่สหภาพแรงงานต้องการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ และสิทธิคนงาน (การปฏิวัติเยอรมันจริงเกิดขึ้นปี 1918)
สหภาพได้มีการต่อรองกับนายจ้าง และการต่อรองทำให้เกิดรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐเยอรมันที่รับรองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม แต่สถานภาพของรัฐก็ไม่ได้มั่นคง ต่อมาได้เกิดรัฐประหารในปี 1920 เรียกว่า Kapp Putsch เพื่อล้มล้างสาธารณรัฐไวมาร์ ขบวนการแรงงานได้ออกมาต่อต้านโดยการนัดหยุดงานครั้งใหญ่ ทำให้รัฐประหารพ่ายแพ้ไป และมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น ในห้วงเวลานั้นสหภาพต้องพิสูจน์ตัวเองว่าสนับสนุนประชาธิปไตยและมีความเข้มแข็งมากพอ
ราวปี 1920 สหภาพแรงงานเยอรมันมีสมาชิกสูงสุดถึง 8 ล้านคน ถือว่าเป็นจำนวนที่เพิ่มมาแทบไม่น่าเชื่อ แต่หลังจากนั้นได้เกิดปัญหาวิกฤติเศรษกิจ เงินเฟ้อ มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็กระทบกับจำนวนสมาชิกของสหภาพแรงงานด้วย และหลังปี 1930 รัฐบาลได้เปลี่ยนนโยบายไปสนับสนุนนายจ้างทำให้สถานะนายจ้างในการเจรจาเข้มแข้งขึ้น จนกระทั่งสู่ยุคฮิตเลอร์ (1933-1945) ความมืดดำก็ได้เข้าปกคลุมเยอรมัน
สหภาพแรงงานเยอรมันไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนาซี สหภาพแรงงานต้องการความเป็นอิสระและชัยชนะในสภาคนงานเป็นการตอบโต้รัฐบาลนาซี ทหารจึงเข้ายึดทำลายสหภาพแรงงาน และจับกุม ทรมานผู้นำแรงงาน นักสหภาพแรงงานที่ต่อต้านนาซีหลายคนต้องจบชีวิตลงในช่วงเวลานี้
สหภาพแรงงานถูกปลดปล่อยจากรัฐบาลนาซีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่นาซีเยอรมันแพ้สงคราม ประเทศเยอรมันได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ภายใต้การดูแลของประเทศผู้ชนะสงคราม คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ในยุคนั้นเองที่เริ่มมีการแบ่งเยอรมันออกเป็น 2 ส่วน (เยอรมันตะวันออกดูแลโดยสหภาพโซเวียต และเยอรมันตะวันตก ดูแลโดยฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา)
หลังปี 1989 มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เมื่อเยอรมันรวมประเทศ (1990 ทำลายกำแพงเบอร์ลินอย่างเป็นทางการ) เศรฐกิจดีขึ้น ขบวนการแรงงานก็เติบโตขึ้น
“เมื่อเงื่อนไขทางสังคมการเมืองเปลี่ยน ต้องคิดใหม่ หาคำตอบใหม่ โดยยึดหลักชีวิตที่ดีขึ้น ศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ของแรงงานที่ดีขึ้น ปัจจุบัน 8 สหภาพแรงงานของเยอรมัน ตั้งอยู่บนฐานการต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐานของแรงงาน และเพิ่มคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาในขบวน” แฟรงค์ กล่าวถึงข้อสรุปการต่อสู้ของสหภาพแรงงานในเยอรมัน
สหภาพแรงงานตลอดเวลาคือการต่อสู้ และปรับตัว
สมาพันธ์แรงงานเยอรมันกล่าวว่า การต่อสู้ของขบวนการแรงงานเยอรมันที่ผ่านมาไม่เคยมีสันติกับนายจ้างและนายทุน แรงงานต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา ส่วนในแบบเรียนของเยอรมันเองก็ไม่เคยมีเรื่องของแรงงาน เพราะระบบการศึกษานั้นก่อตั้งจากชนชั้นนำ แต่เด็กๆ ได้เรียนรู้จากพ่อแม่ จากสังคมรอบตัว
“ในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีพูดถึง แต่เราต้องไปหาเขาเอง มองหาคนที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องสมาชิกเก่า ซึ่งอาจสูญเสียไปด้วยเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะตัวเราเอง” แฟรงค์ กล่าว
แฟรงค์ บอกด้วยว่า สหภาพแรงงานต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อทำให้คนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้น และมองหาว่าจะสามารถช่วยอะไรแรงงานได้บ้าง สมาชิกขาดอะไร และมีความรู้หรือสิ่งใหม่ๆ อะไรที่จะให้เขา
แรงงานข้ามชาติ ข้อท้าทายของสหภาพแรงงาน
ต่อประเด็นคำถามเรื่องแรงงานข้ามชาติ ตัวแทนสมาพันธ์แรงงานเยอรมันกล่าวว่า ที่เยอรมันที่ผ่านมาก็เคยมีปัญหาเรื่องความไม่พอใจต่อการจ้างงานแรงงานข้ามชาติ แต่สหภาพแรงงานเยอรมันพยายามดึงแรงงานข้ามชาติมาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพ โดยไม่ต้องการให้แรงงานแข่งขันกันเอง
“จากสถานการณ์ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ที่มีผู้ลี้ภัยจากซีเรียเข้ามาในเยอรมันถึง 8 แสนคน เราก็พยายามให้เขาทำงานได้ในตลาดแรงงาน นั่นคือความท้าทายของสังคมโดยรวม ไม่ใช่แค่รัฐบาล นายจ้าง หรือสหภาพ” แฟรงค์กล่าว เขาบอกด้วยว่าทุกวันนี้มีความพยายามในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ แต่ยังไม่ได้เชื่อมประสานกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ มากนัก
“แรงงานเราเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นว่าทำอาชีพอะไร เราเป็นหนึ่งเดียวกันคือยืนอยู่ด้วยกัน ต่อสู้ด้วยกัน เพื่อสภาพการจ้างงาน สภาพที่ดีไปด้วยกัน” แฟรงค์กล่าว
ปัจจุบันมีการจ้างงานรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าออร์แกไนเซอร์ ซับคอนแทรค ทำงานประจำ หรือลูกจ้างชั่วคราว ต่างก็มีความต้องการเหมือนกัน ไม่ว่าต่างชาติหรือชาติเดียวกัน เราต่างก็มีความต้องการในฐานะแรงงานเหมือนกัน
“ข้อท้าทายของสหภาพแรงงานไทย รวมทั้งเยอรมันคือ เราจะรวมคนงานเป็นหนึ่งเดียวกัน และต่อสู้ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร” ตัวแทนจากสมาพันธ์แรงงานเยอรมัน กล่าว
ขบวนการแรงงานไทย :
เมื่อแรงงานคือคนอื่น ใครจะเขียนประวัติศาสตร์ให้แรงงาน
แล ดิลกวิทยรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เมื่อพูดถึงขบวนการแรงงานของยุโรปจะต่างจากขบวนการแรงงานของเอเชีย ขณะที่การต่อสู้ในเยอรมันเป็นการสู้ในระดับเล็กที่สุดคือสภาพการทำงาน ความมั่นคงในการจ้างงาน ไปถึงระดับใหญ่สุดคือระบบสังคมการเมือง มีพันธกิจครบ สำหรับไทยเราถูกบังคับให้เข้าสู่ทุนนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 ก่อนเลิกระบบไพร่ทาส แรงงานรับจ้างรุ่นแรกก็ไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนจีน ที่ถูกเรียกว่ากุลี จับกัง
“สังคมไทยเราไม่เคยยอมรับว่าแรงงานมีสถานะทางสังคมเท่ากับคนอื่นๆ” อาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ระบุ
อาจารย์แลกล่าวว่า แรงงานของไทยเริ่มต้นคือไพร่ พร้อมยกคำสุภาษิตเปรียบเปรยที่ว่า “รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา” ที่สะท้อนว่าคนทำงานหนักคือคนไม่ดี ไม่มีปัญญา เป็นการเหยียดผู้ใช้แรงงาน จากนั้นแรงงานในยุคต่อมาคือคนจีน ไทยเป็นสมาชิกก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO เมื่อปี พ.ศ. 2462 ซึ่ง ILO ได้ระบุให้ไทยออกกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แต่ทางการไทยในขณะนั้นได้ให้เหตุผลว่า “แรงงานไม่ใช่คนไทย ไม่จำเป็นต้องคุ้มครอง” จะเห็นได้ว่าผู้ปกครองที่ออกกฎหมายเห็นแรงงานเป็นคนอื่น
“เราไม่ได้เห็นว่าแรงงานคือพวกเรา ตั้งแต่ยุคศักดินา ยุคเปิดประเทศ จนถึงปัจจุบันแรงงานยังเป็นคนอื่น คนบันทึกประวัติศาสตร์เห็นว่าแรงงานเป็นคนอื่น จึงไม่บันทึกเรื่องของเขา”
แรงงานในเอเชียส่วนมากเป็นคนอื่นในสังคมนั้นๆ ชนชั้นแรงงานทั้งในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ส่วนใหญ่เป็นคนมาจากที่อื่น ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการปราบปรามการรวมตัวของแรงงาน โดยการบอกว่านั่นคือการคุกคามความมั่นคงของรัฐ ในยุคสงครามเย็น ขบวนแรงงานในไทยมาจากลูกจ้างจีน ถูกบอกว่าเป็นการรวมตัวของคอมมิวนิสต์ ในสมัย ร.4-ร.5 ขบวนการแรงงานรวมตัวกันจะถูกบอกว่าเป็นการกระทำการ “เป็นอั้งยี่” ซึ่งคำนี้ยังคงมีการใช้อยู่ในกฎหมายปัจจุบัน
แรงงานไม่สามารถรวมตัวกันได้เพราะเป็นคนอื่นในสังคมไทย คุณไม่ใช่เจ้าของประเทศ และในปัจจุบันแรงงานข้ามชาติก็ถูกปิดกั้นการรวมตัวโดยใช้กฎหมาย
การเขียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่การบันทึกข้อเท็จจริง แต่มันคือการเมืองในตัวมันเอง ใครเป็นพระเอกหรือผู้รายขึ้นอยู่กับใครเป็นคนเขียน และที่ผ่านมาคนเขียนประวัติศาสตร์อยู่ตรงข้ามกับแรงงานเสมอ ตั้งแต่ยุคไพร่ทาสถึงแรงงานที่อพยพมาจากจีนประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บันทึก
“การบันทึกประวัติศาสตร์ของคนข้างล่าง ให้คนยอมรับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนข้างบน หรือผู้ปกครอง แต่ขึ้นอยู่กับการให้คนข้างมากยอมรับ แต่ปัญหาคือคนทั่วไปยอมรับหรือไม่ถึง ‘คนชั้นล่าง’ ‘คนอื่น’ เราเห็นความสำคัญของคนเหล่านี้ไหม” อาจารย์แลกล่าว
ทั้งนี้ นิทรรศการและเวทีเสวนา “แรงงานไม่มีประวัติศาสตร์” ยังคงมีการนำเสนอวงเสนาย่อย ๆ ต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 6-11 ก.ย. 2559 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 1 ด้วยหัว ข้อดังนี้ 7 กันยายน 2559 เวลา 17.00-19.00 น. เสวนาเรื่อง “ทศนิยมแห่งยุคสมัย: ไทยแลนด์ 4.0 vs แรงงาน 4.0” ร่วมเสวนาโดย ศาตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 8 กันยายน 2559 เวลา 17.00-19.00 น. เสวนาเรื่อง “หนังสือพิมพ์ กรรมกร | จากคุ้นเคยกลายเป็นอื่น” ร่วมเสวนาโดย คุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ 9 กันยายน 2559 เวลา 17.00-19.00 น. เสวนาเรื่อง “กลางเมืองไม่ได้มีแค่โปเกม่อน : ซอกหลืบของแรงงานที่ไม่มีใครออกตามหา” ร่วมเสวนาโดย คุณภาสกร จำลองราช อดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชนประจำสายแรงงาน 10 กันยายน 2559 เวลา 17.00-19.00 น. เสวนาเรื่อง “มักกะสัน ชักกะเย่อ : พื้นที่ | ประวัติศาสตร์ | การพัฒนาเมือง” ร่วมเสวนาโดย คุณสาวิทย์ แก้วหวาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย 11 กันยายน 2559 เวลา 17.00-19.00 น. เสวนาเรื่อง “ตั๋วไม่ร้อน ป๊อปคอร์นไม่มี “แรงงาน” อยู่ตรงไหนในภาพยนตร์” ร่วมเสวนาโดย คุณโดม สุขวงศ์ ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ |