“ไผ่” กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นทุกวัน ด้วยเหตุที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ตั้งแต่การบริโภคหน่อ ตัดลำขาย แปรรูปจักรสาร ใช้ในงานก่อสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนความคาดหวังในการชู “ไผ่” เป็นพืชแก้ปัญหาโลกร้อน เพราะสามารถดูดซับคาร์บอนฯ ได้ดีกว่าป่าธรรมชาติถึง 35%
ที่จังหวัดลำปางเอง ก็มีนโยบายระดับจังหวัด ให้ไผ่เป็นพืชสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เพื่อพยายามเปลี่ยนจากระบบพืชเชิงเดี่ยวมาเป็นไผ่แทน พร้อมทั้งดึงความร่วมมือจากหลายภาคส่วนมาช่วยกันสนับสนุนการปลูก โดยมีทั้งหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัยและเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกไผ่

แต่การจะมุ่งสู่เป้าหมายนั้น ก็มีทั้งโอกาสและความท้าทายรออยู่ และที่สำคัญจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งภาคเอกชน หน่วยงานรัฐและต้องมีการทำงานในระดับนโยบายด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ปลูกไผ่ที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ชัดเจน
วันนี้ (ที่ 24 พฤษจิกายน 2566) ที่แปลงเรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมปลูกไผ่แปลงใหญ่ จังหวัดลำปาง หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านหวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นแปลงของนายประดิษฐ์ นันท์ตา ประธานเครือข่ายไผ่แปลงใหญ่ อำเภองาว เกิดวงพูดคุยขึ้นระหว่างผู้แทนจากกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ หน่วยงานท้องถิ่น และเกษตรกรผู้ปลูกไผ่ เพื่อช่วยกันมองทิศทางในอนาคต และสร้างความร่วมมือเพื่อปลดล็อคข้อจำกัดต่าง ๆ

นายสภลท์ บุญเสริมสุข อดีตผู้อำนวยการส่วนความร่วมมือด้านการป่าไม้ระหว่างประเทศ กรมป่าไม้ ที่ทำงานและศึกษาเรื่องไผ่มานานกว่าสามสิบปี มองถึงศักยภาพของไผ่ในอนาคตว่าจะเป็นที่นิยมและมีความต้องการของตลาดมากขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะการถนอมอายุการใช้งาน และการป้องกันมอดแมลง ทำให้มีการนำไผ่ไปใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างหลาย ๆ ด้าน ไม่จำกัดอยู่แค่งานจักรสารเหมือนอดีตอีกต่อไป ในขณะที่ประเทศไทยเองยังมีไผ่ไม่พอใช้ และยังต้องนำเข้าไผ่จากประเทศจีนอยู่
ทุกวันนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน และไผ่สามารถแก้ไขได้หมดเลย ทั้งเรื่องความยั่งยืน การดูดซับคาร์บอน เมื่อตัดแล้วก็มีต้นใหม่โตขึ้นมาทดแทนทุก ๆ ปี และที่สำคัญ ไม่ไผ่ให้ออกซิเจนมากกว่าป่าป่าธรรมชาติถึง 35%
นายสภลท์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการจะผลักดันให้มีการใช้ไผ่อย่างแพร่หลาย ต้องมาจากภาคประชาชน เพราะตนเคยพยายามผลักดันมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เป็นผล

ดร.โอฬาร อ่องฬะ นักวิจัยภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และอาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ – แพร่ เฉลิมพระเกียรติ มองว่าความพยายามในการจะผลักดันให้ลำปางกลายเป็นเมืองหลวงของไผ่อีกแห่งหนึ่ง เราจะต้องทำความเข้าใจบริบทของสถานการณ์ ทั้งในมิติของสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยแบ่งออกเป็นโจทย์หลักสามด้าน
ประการแรกมอง “ไผ่เป็นโอกาส“ จากโครงการวิจัยการพัฒนาความสามารถของคนรุ่นใหม่กับไผ่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ หรือ บพท. ค้นพบว่าจังหวัดลำปางมีต้นทุนทางด้านทรัพยากรไผ่ที่เยอะมาก เฉพาะแปลงซางหม่น มีมากถึง 4,500 ไร่ ในจำนวนนี้อยู่ในพื้นที่อำเภองาวประมาณ 2,000 ไร่ ถ้าตัดไผ่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว ยาว 12 เมตร ขายลำละ 30 บาท จะสามารถสร้างมูลค่าทางตลาดได้มากถึงปีละ 900,000 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมไผ่ขนาดอื่น ๆ ที่ใหญ่และยาวกว่า ซึ่งมาราคาสูงกว่าด้วย
โจทย์ที่สองต้องมองเรื่องนโยบายของภาครัฐ เพราะถึงแม้ว่าระดับจังหวัดจะมีนโยบายที่ค่อนข้างเปิด แต่ในระดับพื้นก็ต้องมีการทำงานร่วมกันกับหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะในแปลงที่อยู่ในเขตป่าสงวน ป่าชุมชน ซึ่งเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ก็ต้องการความมั่นใจว่าจะไม่มีการไปรบกวนป่าจากธรรมชาติ ซึ่ง ดร. โอฬาร มองว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่วันนี้มีผู้บริหารระดับนโยบายของกรมอุทยาน และกรมป่าไม้มารับฟังเสียง และพูดคุยกับชาวบ้าน
ประเด็นที่สามเรื่องความท้าทาย เนื่องจากห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานของไผ่นั้นค่อนข้างซับซ้อน ไผ่แต่ละพันธุ์ก็มีความต้องการทางตลาดที่แตกต่างกัน นวมทั้งข้อท้าทายในการจัดการกับเศษไผ่ ที่เหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูป โดยเฉพาะการทำตะเกียบและไม้จิ้มฟัน ที่มีเศษเหลือทิ้งมากถึง 70% จะทำอย่างไรไม่ให้สูญเปล่าไป และอีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึง การนำความคิดสร้างสรรค์มาสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกเหนือจากแค่การขายส่งเป็นลำ
ปลูกแล้วจะขายให้ใคร คือความหนักใจของเกษตรกร
ทวี ศรีเทพ บ้านร่องต้า เกษตรกรผู้ปลูกไผ่ ในจังหวัดลำปาง เห็นว่าถ้าอยากให้ชาวบ้านหันมาปลูกไผ่จริงจัง โดยเฉพาะการเปลี่ยนไร่ข้าวโพดมาเป็นแปลงไผ่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องต้องรับประกันได้ว่าผลตอบแทนต้องเท่ากัน หรือมากกว่าอาชีพเดิม
ต่อประเด็นนี้ ดร. รุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มองว่าเรื่องการประกันราคา อาจต้องมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และต้องยอมรับความจริงว่าไผ่บางชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีเศษเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูป และขึ้นอยู่กับชนิดของไผ่ด้วย

ทางด้านนายสภลท์ ชี้ว่าเบื้องต้นให้มองเรื่องการหาตลาดรับซื้อลำไผ่ก่อน ส่วนใครจะเอาไปแปรรูปอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของคนที่ซื้อไป สำคัญที่ต้องมีคนกลางรับซื้อไว้ ถ้าเปรียบเทียบกับการปลูกไผ่กับปลูกมันสำปะหลัง หรือข้าวโพด ที่ปลูกเท่าไหร่ก็ขายหมด ดังนั้นคนที่ปลูกไผ่ก็ต้องขายให้หมดได้เช่นกัน โดยทางออกหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ คือ อาจมีการตั้งกองทุนสักหมื่นล้านบาท รับซื้อไว้เป็นประเภทวัสดุ แล้วค่อยออกแบบเรื่องกลไกการกระจายสินค้า เป็นศูนย์รับซื้อไผ่ที่สามารถรับซื้อจากเกษตรกรผู้ปลูกไผ่ได้ทั่วประเทศ ซึ่งคนที่จะมีเงินขนาดนี้ได้คือรัฐบาล เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องการคนกลาง แต่ถ้ารัฐบาลเข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ เกษตรกรจะไม่เสียเปรียบมากเกินไป
ขณะที่พ่อประดิษฐ์ นันท์ตา มองว่าเรื่องตลาดไม่น่ากังวล ในฐานะที่ตนเป็นประธานผู้ปลูกไผ่แปลงใหญ่ อำเภองาว ที่มีสมาชิกอยู่ราว 140 กว่าคน มองว่าการรวมตัวกันเช่นนี้ จะช่วยให้ตลาดไผ่แข็งแรงมากขึ้น หากใครไม่มีที่ขาย ตนก็พร้อมรับซื้อ

อีกสาเหตุหนึ่งที่พ่อประดิษฐ์มั่นใจว่าตลาดไผ่ไม่ถึงทางตัน คือ การมีเครือข่ายหลากหลาย เช่นปัจจุบันนี้ได้มีการสร้างเครือข่ายแล้ว ประกอบด้วยต้นทางคือคนปลูก กลางทางคนแปรรูป และปลายทางคือคนที่นำไปออกแบบสร้างมูลค่าเพิ่ม และเจาะตลาดที่มีราคาแพง เช่น รีสอร์ท โรงแรมห้าดาว เป็นต้น
ไม่ใช่แค่เรื่องการหาตลาด แต่องค์ความรู้ในการปลูกไผ่สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ก็สำคัญ ดังนั้น พ่อประดิษฐ์จึงใช้แปลงไผ่ตนเองเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับผู้ที่สนใจ มีทั้งหลักสูตรในการปลูก การขยายพันธุ์และการดูและ พร้อมด้วยพันธุ์ไผ่ชนิดต่าง ๆ มากกว่า 30 พันธุ์ ทำให้มีคนมาขอเรียนรู้อยู่เป็นสม่ำเสมอ

ตัวอย่างเช่น เสมอ ภู่หยัด เกษตรกรจากบ้านร่องต้า เป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจการปลูกไผ่ของพ่อประดิษฐ์ จึงเดินทางมาขอความรู้ ตั้งแต่วิธีการปลูก การตอนกิ่ง และการดูแลไผ่ชนิดต่าง ๆ แต่พันธุ์ที่ลุงเสมอให้ความสนใจมากที่สุด คือ ไผ่ซางหม่น เพราะปลูกง่าย โตเร็ว ตัดขายได้ราคาดี ตอนนี้เขาปลูกไผ่ไปแล้ว 6 ไร่
“พอแก่มาแล้วก็เหนื่อย อยากเปลี่ยนจากข้าวโพดมาเป็นไผ่ เพราะข้าวโพดปีหนึ่งได้เงินครั้งเดียว แต่ไผ่ขายได้ตลอดเลย ก็เลยมาขอความรู้จากพ่อหนานสาย (พ่อประดิษฐ์) ลุงเสมอกล่าว