19 ก.ค. 2558 เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินยังคงปักหลักอยู่บริเวณหน้ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดำเนินนอก โดยมีประชาชนจาก จ.กระบี่ กว่า 100 คน เดินทางมาร่วมนั่งอดอาหาร เพื่อต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ทั้งนี้ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เวลา 9.00 น. กลุ่มประชาชนจะเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ส่วน องค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อม 51 องค์กรได้ออกแถลงการณ์ “คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และการเปิดประมูลโครงการ” นำมาประกาศที่บริเวณหน้ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์ร่วม 51 องค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อม วันที่ 19 กรกฎาคม 2558 ตามที่เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินได้ทำการอดอาหารประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา เพื่อแสดงการคัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเทียบเรือขนส่งถ่านหิน จ.กระบี่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการศึกษาจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และ กฟผ.กำลังจะเปิดประมูลการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในวันที่ 5 สิงหาคมที่จะถึงนี้นั้น พวกเรา 51 องค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมดังมีรายชื่อท้ายนี้ ขอแถลงสนับสนุนการแสดงออกของเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน และมีความเห็นข้อเรียกร้องร่วมกันดังนี้ 1.การแสดงออกของเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน เป็นการแสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย และมิได้มีการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด 2.พื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และท่าเทียบเรือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติหรือ แรมซาร์ไซต์ (Ramsar Sites) เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนก โลมา วาฬ และพะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองและสัตว์ป่าสงวนของไทย และอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก พื้นที่ชุ่มน้ำและชายฝั่งทะเลอันดามัน ทั้งยังเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชนท้องถิ่น ทั้งในด้านการประมง และการท่องเที่ยว จึงเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะอนุญาตให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่ที่มีความสำคัญและความอ่อนไหวทางธรรมชาติแห่งนี้ 3.การเปิดประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ทั้งที่โครงการยังอยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) และยังไม่ได้รับการอนุมัติโครงการจากคณะรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นการดำเนินการ “คู่ขนาน” ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และขัดกับหลัก “ธรรมาภิบาล” ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สิทธิชุมชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน 4.ขอให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยุติแผนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ และยกเลิกการเปิดประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่โดยทันที ด้วยความรักและห่วงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน |
ทั้งนี้ ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า กฟผ.เลื่อนประมูลโรงไฟฟ้ากระบี่ไปเป็น 5 ส.ค. โดยนายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยระหว่างที่นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้าจะนะ จ.สงขลา ว่า ขณะนี้ กฟผ.ได้เลื่อนกำหนดการยื่นซองประกวดราคาก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด จ.กระบี่ กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์จากเดิม 22 ก.ค.นี้ ไปเป็นวันที่ 5 ส.ค. แทน เนื่องจากมีผู้ประกอบการเอกชนได้สอบถามข้อมูลมาเพิ่มเติมและบางรายยังเตรียมเอกสารไม่พร้อม ซึ่ง กฟผ.เห็นว่าหากมีทางเลือกจำนวนมากจะเป็นผลดีกว่าโดยยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับกรณีการประท้วงแต่อย่างใด
นายสุนชัย กล่าวว่า กฟผ.ในฐานะเป็นผู้กำหนดเทคนิคการสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อให้ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมจึงทำควบคู่กันไปกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบเทคนิคของผู้ที่ยื่นข้อเสนอว่าสอดคล้องกันหรือไม่เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะได้เทคโนโลยีที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมได้ตาม EHIA
อย่างแท้จริง
“เราเองในฐานะผู้กำหนดเทคนิคหลังจากนั้นสู้ด้วยราคาเราก็เชื่อว่าสิ่งที่เราทำดีที่สุดแล้วที่เราต้องทำควบคู่ไปกับ EHIA ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลา 4-5 เดือนแต่ถ้ารอให้ EHIA ผ่านจะใช้เวลาเกือบปีเศษก็จะใช้เวลานานนับปีอาจไม่ทันกำหนดจ่ายไฟฟ้า ม.ค.2562 แต่การดำเนินงานก่อสร้างจริงก็ต้องรอให้ EHIA ผ่านก่อนอยู่แล้วไม่ใช่อยู่ๆ จะไปสร้างก่อนได้เลย” นายสุนชัยกล่าว
ทั้งนี้ หากโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่เกิดไม่ทันกำหนดจ่ายไฟม.ค.2562 ภาคใต้จะเสี่ยงกับความมั่นคงเนื่องจากการหยุดซ่อมท่อก๊าซฯ จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) จะเกิดขึ้นทุกปีเป็นเรื่องปกติขณะที่การใช้ไฟภาคใต้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ซึ่งเกิดจากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยประเมินว่าปี 2662 ความต้องการใช้ไฟภารใต้จะอยู่ที่ 3,062 เมกะวัตต์ แต่กำลังการผลิตจะอยู่ที่ 3,115 เมกะวัตต์ แม้ว่าจะรวมกับกำลังการผลิตพลังงานทดแทนจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) และเล็กมาก (VSPP) 202 เมกะวัตต์ก็ไม่เพียงพอ
“แม้ว่าภาคใต้จะมีพลังงานทดแทนแต่หากพิจารณาจะพบว่าส่วนใหญ่เป็นการขายไฟเข้าระบบแบบไม่กำหนดการจ่ายไฟที่แน่นอน (Non Firm) เพราะขึ้นอยู่กับธรรมชาติ จึงไม่สามารถจะเป็นพลังงานหลักได้รัฐบาลจึงส่งเสริมให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ และเทพา จ.สงขลา 2 แห่งที่จะรองรับความต้องการในปี62และปี64 ตามลำดับ
ขณะที่การก่อสร้างสายส่ง 500 เควีจาก อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไป จ.สุราษฎร์ธานีจะแล้วเสร็จปี 2562 ขณะที่ไปภูเก็ตจะเสร็จปี 2565 หากเป็นไปตามแผนทั้งหมดก็จะทำให้ระบบไฟภาคใต้มีความมั่นคงอย่างมากและที่สำคัญจะทำให้ลดความเสี่ยงค่าไฟฟ้าแพงเพราะถ่านหินมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติ” ผู้ว่ากฟผ.กล่าว
นอกจากนี้กฟผ.ยังได้ลงนาม (MOU) ร่วมกับบริษัท JERA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บ.เทปโก้และชุบุ เพื่อศึกษาในการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในโรงไฟฟ้าของกฟผ.เช่น โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และบางปะกง เป็นต้น โดยคาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้
“กฟผ.ก็จะดูว่าจะสามารถสร้างคลังและนำเข้า LNG เพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกฟผ.เองได้หรือไม่เพราะขณะนี้การขนส่งทางท่อก็มีข้อจำกัด ส่วนจะมีการร่วมทุนหรือไม่อย่างไรคงต้องรอให้ผลการศึกษาออกมาก่อน” นายสุนชัยกล่าว
นายสุธน บุญประสงค์ รองผู้ว่าการระบบส่ง กฟผ. กล่าวว่า การหยุดซ่อมท่อก๊าซ JDA -A18ระหว่างวันที่ 21-25 ก.ค.58 ยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อระบบไฟฟ้าภาคใต้เพราะโรงไฟฟ้าจะนะชุดที่ 1 จะปรับมาใช้ดีเซลได้ ทำให้มีเพียงจะนะชุด 2 ที่หยุดเดินเครื่อง แต่ก็มีการส่งไฟจากภาคกลางมาป้อน ซื้อไฟมาเลเซีย 30 เมกะวัตต์ รวมเหลือสำรอง 438 เมกะวัตต์ ทำให้เพียงพอรองรับกับความต้องการแต่หากเกิดฉุกเฉินก็มีมาตรการไว้ดูแลแล้วโดยเชื่อมั่นว่าจะไม่ถึงขั้นใช้มาตรการฉุกเฉินโดยเฉพาะการดับไฟบางพื้นที่