5 ข้อเท็จจริง-จุดยืน กรณีปลดบอร์ด สสส.-บอนไซขบวนการภาคประชาชน

5 ข้อเท็จจริง-จุดยืน กรณีปลดบอร์ด สสส.-บอนไซขบวนการภาคประชาชน

คำแถลงขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน กรณีการบอนไซขบวนการภาคประชาชนด้วยการปลดบอร์ด สสส. การระงับการอนุมัติและงบประมาณการดำเนินงานโครงการ รวมทั้งการใช้มาตรการภาษีคุกคามองค์กรภาคประชาสังคมโดยไม่ชอบธรรม

20161201001808.jpg

11 ม.ค. 2559 เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (Thai Health Movement) ซึ่งเป็นการรวมตัวของเครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายวิชาการ และเครือข่ายองค์กรประชาชน รวม 20 เครือข่าย แถลงจุดยืน จำนวน 5 ข้อ หลังการหารือร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาที่เชื่อมโยงกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ณ ชั้น 4 อาคารคริสตจักรแห่งประเทศไทย 

สืบเนื่องจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ปลดกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นพ.วิชัย โชควิวัฒน, ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี, นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ, นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์, นายสมพร ใช้บางยาง, รศ.ประภาภัทร นิยม และนายวิเชียร พงศธร จากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา

คำแถลงมีดังนี้

คำแถลงขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน
กรณีการบอนไซขบวนการภาคประชาชนด้วยการปลดบอร์ด สสส.
การระงับการอนุมัติและงบประมาณการดำเนินงานโครงการ
รวมทั้งการใช้มาตรการภาษีคุกคามองค์กรภาคประชาสังคมโดยไม่ชอบธรรม

ที่รัฐบาลได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งทำงานใกล้ชิดกับองค์กรภาคประชาสังคมและชุมชนท้องถิ่นรวม 7 คนออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 โดยก่อนหน้านั้น 3 เดือนคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้เข้ามาควบคุมการอนุมัติและระงับการจ่ายงบประมาณให้กับโครงการที่ได้ดำเนินการทำความตกลง อีกทั้งได้มีคำสั่งจากผู้มีอำนาจให้กรมสรรพากรตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 5 ปีจากองค์กรภาคประชาสังคมอย่างไม่ชอบธรรม

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน ซึ่งเป็นการรวมตัวของเครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายวิชาการ และเครือข่ายองค์กรประชาชน รวม 20 เครือข่าย ขอแถลงจุดยืนและข้อเท็จจริงต่อประชาชนในกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้

1. ปัญหาการปลดบอร์ด สสส.และการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนเห็นว่า การปลดบอร์ดของ สสส.ทั้ง 7 คนเป็นไปโดยไม่ชอบธรรม เนื่องจากไม่พบการทุจริต อีกทั้งการดำรงตำแหน่งของกรรมการก็มีคุณสมบัติเป็นไปตามกฎหมายซึ่งตราไว้ หากการปลดบอร์ดทั้ง 7 คนด้วยเหตุผลซึ่งนายกรัฐมนตรีอ้างว่าเพื่อไม่ให้ขัดขวางการตรวจสอบ ดังนั้นเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้นลง และพบว่ากรรมการที่ถูกปลดออกไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ได้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ รัฐบาลต้องคืนความเป็นธรรมให้กับคณะกรรมการทุกท่าน เพื่อกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และประวัติการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงตรง และยุติธรรมของคณะกรรมการที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวโดยเร็ว 

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนมีข้อเสนอ ดังนี้คือ 

1.1 ยกเลิกการสั่งที่ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ “พ้นจากการเป็นกรรมการและการดำรงตำแหน่งในกองทุนดังกล่าว” เพื่อให้คณะกรรมการสามารถกลับเข้ามาปฏิบัติงานได้หลังการตรวจสอบเสร็จสิ้นลงโดยเร็ว

1.2 ขณะนี้สัดส่วนของคณะกรรมการของ สสส.เหลือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพียง 2 คน และมีกรรมการจากสัดส่วนภาครัฐ 11 คน ดังนั้นหากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่ประสงค์จะดำรงตำแหน่งต่อ กระบวนการสรรหาและแต่งตั้งซึ่งขาดการถ่วงดุลจากผู้ทรงคุณวุฒิ อาจได้กรรมการซึ่งมีคุณสมบัติที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการของ สสส.ที่เหลืออยู่ และคณะรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสรรหาและแต่งตั้ง ดำเนินการเพื่อให้ได้คณะกรรมการที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1) กรรมการผู้ทรงคุณวุติทั้ง 7 คนต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ สุจริต และมีผลงานที่เป็นประจักษ์ในด้านต่างๆตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยต้องมีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าคณะกรรมการทั้ง 7 คนที่พ้นจากหน้าที่ไป

2) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านแอลกอฮอล์ บุหรี่ อาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ อีกทั้งต้องไม่มีความสัมพันธ์ หรือทัศนคติในทิศทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิรูประบบสุขภาพที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมเป็นเป็นธรรมด้านสุขภาพ และต้องมาจากภาคเอกชนอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง จากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด 8 คน ตามมาตรา 17(5) ตาม พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544

1.3 ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนจะติดตามความคืบหน้าการประชุมของคณะกรรมการ สสส.ในวันที่ 15 มกราคม 2558 อย่างใกล้ชิด หากพบว่าการแต่งตั้งผู้จัดการ การสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นโดยมิชอบ รวมทั้งไม่มีความคืบหน้าเพื่อแก้ปัญหาข้างต้น ขบวนการฯ จะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งจะแถลงต่อสื่อมวลชนต่อไป

2.กรณีการระงับการจ่ายงบประมาณดำเนินการและไม่อนุมัติโครงการที่มีงบประมาณเกิน 5 ล้านบาท

การระงับการจ่ายเงินให้แก่โครงการที่ได้ลงนามในความตกลงร่วมปฏิบัติงานร่วมกับ สสส.แล้วมีจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 1,953 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นโครงการที่งบประมาณเกิน 5 ล้านบาทจำนวน 515 โครงการ รวมงบประมาณ 1,643 ล้านบาท โดยจะมีผู้ปฏิบัติงานในองค์กรต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 5,200 คน ในจำนวนนี้มีมากกว่า 3,400 คนที่ขาดงบประมาณดำเนินการและค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนานเกิน 3 เดือน 

งบประมาณที่สนับสนุนในโครงการต่างๆ นั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติงานในโครงการย่อยๆ และอาสาสมัครไม่เต็มเวลาที่ร่วมกันทำงานให้กับสสส.อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ขณะนี้ผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติงานในทุกระดับคาดว่าน่าจะเกิน 10,000 คน

20161201001845.jpg

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่มากไปกว่านั้นคือผลกระทบจากการที่ประชาชนในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก เยาวชน แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ประชาชนในชุมชนแออัด ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งขาดโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากกิจกรรมและโครงการที่ลดปัจจัยเสี่ยงเรื่องสุขภาพ เช่น เหล้า บุหรี่ สารเคมี ขยะของเสียอันตราย ไปจนถึงการส่งเสริมสุขภาพ เช่น เกษตรอินทรีย์ อาหารปลอดภัย และการออกกำลังกาย เป็นต้น

การระงับโครงการของสสส.ยังกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานรัฐด้วยเนื่องจากสัดส่วนงบประมาณที่สสส.ให้กับหน่วยงานของรัฐในรอบ 15 ปีนั้นเป็นการสนับสนุนให้กับหน่วยงานของรัฐมากที่สุด เฉพาะในกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีโครงการที่มีข้อจำกัดจากงบประมาณปกติแต่ได้รับการสนับสนุนจากสสส.ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น เครื่องมือประเมินเด็กปฐมวัย การพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก การแก้ปัญหาตั้งครรภ์วัยรุ่น ต้นแบบโรงเรียนสุขภาวะ ระบบการให้คำปรึกษาในศาล การดูแลเด็กในกระบวนการยุติธรรม รูปแบบการรักษาสุรายาเสพติด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นต้น

การระงับการจ่ายงบประมาณ และการไม่อนุมัติโครงการใหม่ๆ คาดว่าจะส่งผลกระทบและการสูญเสียโอกาสในการมีระบบสุขภาวะที่ดีในหมู่ประชาชนนับแสนนับล้านคน 

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนมีข้อเรียกร้อง ดังนี้

โครงการที่ภาคีร่วมดำเนินงานกับ สสส. ต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามสัญญาที่ทำไว้ร่วมกัน หากโครงการยังคงถูกแช่แข็ง ไม่จ่ายเงินตามงวดความตกลงที่ได้ลงนามไว้ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนจะดำเนินการยื่นฟ้อง สสส. ต่อศาลปกครอง 

20161201002420.jpg

3. กรณีผู้มีอำนาจสั่งการให้มีการไล่เบี้ยเก็บภาษีมูลนิธิและและองค์กรต่างๆ ที่ร่วมปฏิบัติงานกับ สสส.

นอกเหนือจากผลกระทบจากการระงับงบประมาณดำเนินการแล้ว ยังมีการดำเนินการให้กรมสรรพากรไล่เบี้ยเก็บภาษีย้อนหลัง 5 ปีกับมูลนิธิและองค์กรต่างๆที่ร่วมปฏิบัติงานกับสสส. โดยอ้างว่า การดำเนินงานของมูลนิธิและองค์กรต่างๆเป็นการรับจ้างทำของ ซึ่งต้องเสียภาษีและตีตราอากร ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ดังนี้

1) องค์กรภาคประชาสังคมที่ร่วมปฏิบัติงานกับสสส.นั้นไม่ได้สัมพันธ์กับสสส.ในฐานะ “ผู้รับจ้างทำของ” แต่เป็น “ผู้ดำเนินงานแทนสสส.” โดยในความตกลงของสสส.กับภาคีนั้นจะมีการลงนามในความตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงการปฏิบัติงาน” ไม่ใช่ “สัญญารับจ้างทำของ” แต่ประการใด ทั้งนี้ โดยสสส.ได้เคยขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดตีความในโครงการที่ลงนามในความตกลงดังกล่าวเมื่อปี 2547 โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตอบกลับตามหนังสือลงวันที่ 27 ธันวาคม 2547 วินิจฉัยว่าเป็น “การดำเนินการแทน” 

2) ในความตกลงของสสส.ที่ดำเนินการร่วมกับภาคีนั้นได้แยกงบประมาณที่เกี่ยวข้องเป็น 2 ส่วนคือ งบที่เป็นค่าตอบแทนบุคลากร และงบประมาณการดำเนินกิจกรรมตามโครงการเพื่อประโยชน์สาธารณะ “ซึ่งต้องเป็นไปตามเป้าหมายและตัวชี้วัดที่สสส.กำหนด” และถือว่าเป็น “ผลงานของสสส.” โดยในส่วนที่เป็นค่าตอบแทนบุคคลากรจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยสสส.จะหักค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก่อนโอนงบประมาณให้กับมูลนิธิและองค์กรร่วมปฏิบัติงาน

ส่วนงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินงานร่วมกับสสส.นั้นไม่ได้เป็นรายได้เพื่อเอามาแบ่งปันกัน แต่จะใช้ดำเนินเพื่อสาธารณประโยชน์ตามความตกลงกับสสส. ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นต้องมีการเก็บใบเสร็จหลักฐานต่างๆ เอาไว้ทั้งหมด หากมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเหล่านี้ต้องส่งคืนสสส.ตอนหมดสัญญา หากมีการจัดซื้ออุปกรณ์หรือคุรุภัณฑ์ใดๆ ระหว่างการดำเนินกิจกรรม อุปกรณ์เหล่านั้นถือว่าเป็นทรัพย์สินของสสส.ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสัญญาการรับจ้างทำของ

ส่วนในกรณีที่งบกิจกรรมนั้นต้องมีค่าตอบแทนบุคคลอื่น หรือต้องจ่ายสำหรับงานบริการต่างๆ จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นการทำหน้าที่แทนสรรพากรและสสส.

3) ผู้ปฏิบัติงานในมูลนิธิและองค์กรต่างๆ ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามเงินเดือนที่แต่ละคนได้รับตามความเป็นจริงทุกประการ

4) ปัญหาความเดือดร้อนขณะนี้เกิดขึ้นจากกรณีที่กรมสรรพากรไล่เรียกเก็บภาษีย้อนหลังมูลนิธิและองค์กรต่างๆ ย้อนหลัง 5 ปี และตีความอย่างไม่ชอบธรรมว่าความตกลงดังกล่าว “เป็นสัญญาจ้างทำของ” ต้องเสียภาษีในอัตรา 3% และต้องติดตราสารอากรในอัตรา 1 บาท ต่อทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท (0.001%) พร้อมเบี้ยปรับ 5-6 เท่า ของงบประมาณดำเนินการ สร้างความตระหนกทั้งต่อมูลนิธิและองค์กรที่ร่วมปฏิบัติงานกับสสส.และโครงการย่อยต่างๆ ที่ร่วมปฏิบัติงาน 

ทั้งนี้เนื่องจากต้องใช้เงินประมาณ 800 ล้านบาทสำหรับภาษีอากรและค่าปรับ ซึ่งแม้เมื่อแยกย่อยไปตามความตกลงแต่ละโครงการแล้วก็ตาม ก็จะไม่มีองค์กรใดที่มีความสามารถพอที่จะจ่ายได้

การดำเนินการไล่เบี้ยเก็บภาษีจากองค์กรสาธารณประโยชน์ดังกล่าว และอาจมีปัญหาเรื่องวินัยจึงถือเป็นการคุกคามการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมอย่างร้ายแรงซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

เครือข่ายขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนฯ มีข้อเรียกร้อง ดังนี้คือ

3.1 ให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมสรรพากร และสรรพากรจังหวัดทุกจังหวัด ยุติการคุกคามองค์กรต่างๆ

3.2 ให้คณะกรรมการ สสส.ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ “ข้อตกลงการปฏิบัติงาน” ระหว่างภาคีและสสส.ไม่ใช่ “การรับจ้างทำของ” แต่เป็นการดำเนินงานเพื่อสาธารณประโยชน์

3.3 ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนจะร่วมมือกันฟ้องร้องเพื่อยกเลิกประกาศกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

20161201002432.jpg

4. ข้อเสนอการปฏิรูป สสส.

เราเห็นว่าการดำรงอยู่ของสสส. สปสช. หรือกลไกอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา เป็นกระบวนการปฏิรูประบบสุขภาพที่กระจายการผูกขาดและรวมศูนย์เกี่ยวกับการส่งเสริมระบบสุขภาพ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริการสุขภาพและการที่ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการปฏิรูประบบสุขภาพไม่ให้รวมศูนย์อยู่ภายใต้ระบบราชการเหมือนที่เคยเป็นมา สสส.เป็นหน่วยงานของรัฐในรูปแบบใหม่ ซึ่งมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย อย่างไรก็ตาม สสส.ก็ควรปฏิรูป เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสให้เพิ่มมากขึ้น 

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนฯ มีข้อเรียกร้องดังนี้คือ

4.1 เพิ่มการสนับสนุนโครงการแก่องค์กรและประชาชนเพื่อสร้างความเท่าเทียมในระบบสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มโครงการ กิจกรรม และทุ่มเทงบประมาณที่มีเป้าหมายสำหรับกลุ่มคนด้อยโอกาส ทั้งในเมืองและชนบท 

4.2 เพิ่มสัดส่วนคณะกรรมการและกรรมการระดับต่างๆ ให้มีผู้ที่มีผลงานและประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาด้านต่างเข้ามามีบทบาทในสสส.ให้เพิ่มมากขึ้นไม่ให้จำกัดเฉพาะกลุ่มเดิม ปรับทิศทางการทำงานให้ใกล้ชิดกับองค์กรภาคประชาสังคมโดยตรงมากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรประชาชน แทนการทำงานผ่านผู้เชี่ยวชาญซึ่งอยู่ในเครือข่ายใกล้ชิดสสส.เป็นหลักเช่นที่ผ่านมา

4.3 สนับสนุนให้ออกระเบียบใหม่ที่ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการและผู้ได้ประโยชน์จากการรับทุนอย่างเข้มงวด 

4.4 กระจายระบบการสนับสนุนทุนให้มีการตัดสินใจในระดับภูมิภาค 

4.5 ประเมินผลการดำเนินงานของสสส. และการประเมินการทำงานของผู้บริหารของสสส.โดยโปร่งใสและมีส่วนร่วมโดยภาคีให้มากขึ้น 

5. กรณีโครงการประชารัฐ

ตามที่สื่อมวลชนได้รายงานการพบปะระหว่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคตร. ประธานบอร์ด สสส. และผู้รับผิดชอบโครงการประชารัฐ โดยมีการหารือกรณีการเดินหน้านโยบายประชารัฐที่ไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะคตร.ไม่อนุมัติโครงการเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ของสสส. และนายกได้สั่งการให้แก้ไขโดยแยกโครงการออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.โครงการที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ สสส. และไม่มีข้อกังขาให้ผ่านการพิจารณา 2.โครงการประชารัฐของรัฐบาลที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาวะชุมชน สังคม และฐานรากให้ได้รับการผ่านพิจารณา 3.โครงการอื่นๆที่ไม่เข้าข่ายสองข้อข้างต้น ก็ให้ไปปรับแก้ไขและเสนอเข้ามาตามกระบวนการ

การดำเนินการดังกล่าวชี้ว่า การตีความว่าการดำเนินงานเกี่ยวกับสุขภาวะของชุมชน และสังคมของสสส.ที่คตร.ชี้ว่าไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เกินขอบเขตความหมายของเรื่องสุขภาพ จนนำมาสู่การตรวจสอบสสส. และแช่แข็งโครงการของสสส. ล้วนแล้วแต่เป็นความเข้าใจผิดของคตร. ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการที่สสส.ดำเนินการมาโดยตลอดล้วนแล้วแต่มีการดำเนินการไม่แตกต่างกับโครงการภายใต้นโยบาย “ประชารัฐ” ที่ขอเสนอทุนสนับสนุนจากสสส.แต่ประการใด การปลดบอร์ดสสส. และการบีบให้อดีตผู้จัดการสสส.ต้องลาออกก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากความเข้าใจผิดของหน่วยงานที่ตรวจสอบทั้งสิ้น 

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนฯ จะติดตามการดำเนินการโครงการประชารัฐในส่วนที่ขอรับทุนสนับสนุนจาก สสส. ว่า

5.1 จะมีการใช้งบประมาณในโครงการประชารัฐมากจนเกิดผลกระทบต่อการดำเนินการปกติของสสส. ซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนด้อยโอกาสหรือไม่อย่างไร 

5.2 ตรวจสอบการดำเนินการในโครงการ “ประชารัฐ” ที่มีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องมาจากกลุ่มธุรกิจด้าน การเกษตร/อาหาร และธุรกิจแอลกอฮอล์ ร่วมด้วยว่า ได้ดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ สสส. หรือเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุน

5.3 ติดตามผลการประชุมของบอร์ด สสส.ในวันที่ 15 มกราคม 2588 เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้จัดการสสส.คนใหม่ การดำเนินการสรรหาบอร์ดผู้ทรงคุณวุฒิ และความคืบหน้าการแช่แข็งโครงการ ว่าจะมีการดำเนินการไปในทิศทางใด

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนเห็นว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นกับ สสส.ได้ทำให้ทั้งภาคีต่างๆ รวมทั้งประชาชน และสื่อมวลชนได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการนำเสนอความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการปรับปรุงและพัฒนากลไกการปฏิรูประบบสุขภาพ เพื่อให้เป็นผลประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง เราจะยังคงทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหา และการปฏิรูปสสส. ทั้งนี้ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนจะเคลื่อนไหวเพื่อให้ข้อเรียกร้องตามที่ได้นำเสนอไปแล้วให้ปรากฏเป็นจริง

เราเชื่อมั่นในพลังของประชาชนมากกว่าการฝากอนาคต “การปฏิรูป” ในมือของผู้มีอำนาจ

ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (Thai Health Movement)
11 มกราคม 2559

20161201002352.jpg

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

Prev

June 2025

Next

Mon

Tue

Wed

Thu

Fri

Sat

Sun

26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6

2 June 2025

Nothing to show.

เข้าสู่ระบบ