เวทีสาธารณะ “สื่อพลิกผันในสถานการณ์พลิกขั้ว” สะท้อนสภาพการทำงานของสื่อมวลชนที่ยากลำบากท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองแบ่งขั้วมานานหลายปี ต้องเผชิญทั้งภัยคุกคามหลายด้านทั้งกฎหมายที่ปิดกั้น ความเสี่ยงต่อการถูกสอดแนม ไปจนถึงภัยคุกคามต่อชีวิตจนไปกระทบต่อการทำงานและเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อ แต่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนหน้าจะคาดหวังความเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
26 ก.ย.2566 ที่โรงแรมไอบิส สไตล์ รัชดาฯ ประชาไทจัดเวทีสาธารณะ “สื่อพลิกผันในสถานการณ์พลิกขั้ว” เพื่อนำเสนอสภาพการทำงานของสื่อภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงตั้งแต่ปี 2557-2566 ทั้งกรณีที่สื่อถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพจากการทำงานข่าวไม่ว่าจะเป็นการคุกคามทางกายภาพ การถูกดำเนินคดี ไปจนถึงความไม่ปลอดภัยในการทำงานที่ไม่มีมาตรการคุ้มครองจากที่ทำงาน โดยช่วงแรก ผศ.ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจุฑารัตน์ กุลตัณกิจจา ผู้ช่วยวิจัยในโครงการวิจัย เป็นผู้นำเสนอ “สื่อในการรายงานข่าวการประท้วง: บทบาทของสื่อมวลชนไทยในการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมือง(พ.ศ. 2557-2565)”
เปิดสถิติสื่อถูกคุกคามระหว่างทำข่าวชุมนุม
พรรษาสิริเปิดข้อมูลสถิติที่ทำให้เห็นภาพความเสี่ยงในการทำงานของนักข่าวภาคสนามที่ต้องเผชิญระหว่างการทำข่าวการชุมนุมครั้งใหญ่ 5 ครั้งตั้งแต่พฤษภาทมิฬปี 2535 การชุมนุมของกลุ่มประชาชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือคนเสื้อเหลือง การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง การชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) และล่าสุดการชุมนุมของม็อบราษฎร
อาจารย์นิเทศจุฬาฯ มีข้อสังเกตว่านอกจากข้อมูลสถิติข้างต้นแล้วจากการสัมภาษณ์สื่อที่เคยทำงานในช่วงการชุมนุมใหญ่เหล่านี้มา มักมีคำตอบใกล้เคียงกันว่า พฤติกรรมของตำรวจในพื้นที่ชุมนุมไม่ได้มีการสอดส่องหรือเข้มงวดไปจนถึงแสดงท่าที่เป็นปฏิปักษ์มากเท่ากับเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงการชุมนุมม็อบราษฎร
พรรษาสิริกล่าวถึงการเสียชีวิตของสื่อต่างประเทศ 2 คนระหว่างทำข่าวการชุมนุมของ นปช.และยังมีสื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากกอาวุธหนักด้วยว่าแม้จะมีการไต่สวนโดยศาลแต่กลับบอกไม่ได้ว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลที่แอบแฝงเข้ามา จึงยังเป็นกรณีดำมืดและถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ระดับเสรีภาพในช่วงนั้นตกต่ำมาก แต่ไม่มีข้อเท็จจริงที่บอกได้เลยว่ามันเกิดจากอะไร ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคนในเวลานั้น
พรรษาสิริเห็นว่าจากผลกระทบที่เกิดขึ้นรูปแบบในการปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชนในการชุมนุม ฝ่ายภาครัฐใช้แบบแผนเดิม ๆ คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าควบคุมสถานการณ์เมื่อมีการชุมนุมที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วม และยังใช้ในการสกัดกั้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ส่วนรูปแบบที่โดดเด่นขึ้นมาคือช่วง นปช. ที่มีปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยอาวุธหนักที่ส่งผลต่อสื่อมวลชนด้วย ส่วนกรณีม็อบราษฎรมีกรณีที่น่าสนใจและเพิ่มเข้ามาคือมีการนำตัวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติบอกว่าข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เข้าข่ายล้มล้างการปกครองเอามาใช้ในการขอความร่วมไม่ให้สื่อวิทยุโทรทัศน์รายงานเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม
ขณะเดียวกันก็มีบรรยากาศความเกร็งที่จะรายงานข่าวเมื่อมีจำนวนคดี ม.112 ต่อนักกิจกรรมและผู้ชุมนุมที่พุ่งสูงขึ้น จึงสะท้อนความกังวลและบรรยากาศความกลัว ความเกร็งในช่วงนั้น
อ.นิเทศจุฬาฯ ยังมีข้อสังเกตต่อสถานการณ์การปิดกั้นการทำงานสื่ออยู่อีก 3 ประเด็น คือ 1.ไม่มีการบันทึกการใช้ความรุนแรง และการปิดกั้นสื่ออย่างเป็นระบบก็เลยไม่เห็นรูปแบบของการคุกคามสื่อและยังถูกมองว่าเป็นเรื่องของลูกหลงหรือปัญหาของปัจเจกที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเอง ทำให้ไม่เกิดโครงสร้างในการระวังป้องกันความรุนแรงได้โดยเฉพาะความรุนแรงจากรัฐ 2.การตรวจสอบไม่เป็นระบบจากภาครัฐ ทำให้เกิดการพ้นผิด ลอยนวล หรือเมื่อมีสื่อมวลชนดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีก็ไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
และ 3.ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เห็นอุตสาหกรรมสื่อขาดการคุ้มครองแรงงาน และการเยียวยาผลกระทบจากการทำงาน อุตสาหกรรมไม่ส่งเสริมการรวมกลุ่มแรงงานของสื่อ ไม่เกิดเป็นสหภาพแรงงานในองค์กรสื่อ เมื่อไม่เกิดการรวมตัวก็ไม่มีอำนาจต่อรองและถูกมองว่าเป็นปัญหาของปัจเจกแล้วก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยแทน
ความพร้อมในการรับมือความรุนแรงของสื่อ
จุฑารัตน์ กุลตัณกิจจา ผู้ช่วยวิจัยนำเสนอเพิ่มเติมถึงแนวทางในการจับตาความรุนแรงทางการเมืองของสื่อว่า ในฐานะอดีตนักข่าวภาคสนามของประชาไทในช่วงที่มีสถานการณ์ม็อบราษฎรช่วงปี 2563-2564 มีการชุมนุมมากกว่า 1,000 ครั้งและมีสื่อได้รับบาดเจ็บเกือบเท่าปี 35 ทำให้กองบรรณาธิการเริ่มเห็นว่าสถานการณ์ข้างหน้าอาจจะเกิดความรุนแรงทางการเมืองได้แม้ว่าในช่วงนั้นการชุมนุมจะยังเป็นไปโดยสงบไม่มีความรุนแรงจึงเริ่มมีการฝึกอบรมการประเมินสถานการณ์ความรุนแรงและเมื่อเกิดสถานการณ์สลายการชุมนุมเกิดขึ้นก็ทำให้ต้องเพิ่มการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลและการดูแลสภาพจิตใจหลังเผชิญสถานการณ์รุนแรง
“แม้ว่าจะพยายามทำตามที่ฝึกอบรมแล้วแต่ก็ยังมีนักข่าวของเราเจอความรุนแรงอยู่ดีก็คือคุณศรายุทธ (ตั้งประเสริฐ) ที่โดนกระสุนยางแต่ว่าสิ่งที่ถูกโต้แย้งกลับมาว่าเราเผชิญความรุนแรงคือ คุณยืนอยู่ผิดที่ผิดทางเข้าไปโดนลูกหลงเองอะไรแบบนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทางเราพยายามขอให้สอบสวนเอาผิดทางคดี แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้แบบถูกต้องแล้ว เป็นนักข่าวที่ไปยืนผิดที่ทำให้โดนลูกหลง” จุฑารัตน์กล่าวถึงปัญหาที่ทำให้การสอบสวนเอาผิดไม่คืบหน้าและเมื่อคดีไปถึงศาลแพ่งก็ยกฟ้องทั้งที่ไม่มีการไต่สวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
สื่อออนไลน์และสตริงเกอร์เผชิญภัยคุกคามมากกว่า
ธีรนัย จารุวัสตร์ อดีตนักข่าวข่าวสด อดีตอุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งล่าสุดเป็นผู้ประสานงานโครงการเฝ้าระวังเสรีภาพสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (PFMSea) ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาในเดือนธันวาคม 2565 เพื่อติดตามสถานการณ์เสรีภาพของสื่อมวลชน ได้นำเสนอข้อมูลการคุกคามเสรีภาพสื่อออนไลน์และสตริงเกอร์ในช่วง ธ.ค. 2565 – ก.ย. 2566 ว่าข้อมูลที่องค์กรเก็บนั้นครอบคลุมคนทำงานสื่อมวลชนที่มีสังกัด สตริงเกอร์ที่ทำข่าวส่งจากจังหวัดต่าง ๆ ส่งให้สำนักข่าวต่าง สื่อพลเมืองที่รวมถึงคนทำเพจเฟซบุ๊กและยูทูปเปอร์ ไปจนถึงผู้ที่ทำงานด้านข้อมูลข่าวสารที่เป็นแหล่งข้อมูลเช่น ไอลอว์ Thai Netizen ซึ่งแม้จะไม่ใช่สื่อโดยตรงแต่เป็นผู้ให้ข้อมูลกับสื่อ
ธีรนัย แบ่งลักษณะการคุกคามเป็น 5 รูปแบบ โดยการทำร้ายร่างกายและติดตามข่มขู่คุกคาม 8 กรณี คุกคามทางวาจาหรือด้อยค่า 7 กรณี การฟ้องร้องหรือขู่ว่าจะดำเนินคดี 11 กรณี ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร 1 กรณี และอื่น ๆ 2 กรณี
ธีรนัยมีข้อสังเกตว่ากรณีที่เป็นการข่มขู่คุกคามและการทำร้ายร่างกายโดยทั่วไปที่ไม่ใช่สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองนั้น นักข่าวในต่างจังหวัดหรือสตริงเกอร์ถูกกระทำรุนแรงมากกว่าสื่อในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามมีกรณีช่างภาพของสเปซบาร์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้าติดตามถึงที่พัก และเมื่อตรวจสอบเรื่องนี้ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วก็ไม่ได้มีคำตอบอะไรกลับมา แต่ตำรวจที่มาปฏิบัติการก็เคยชี้แจงว่ามาเฝ้าเพราะช่างภาพคนดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีการกระทำที่อาจกระทบความมั่นคง
ผู้ประสานงานจาก PFMSea กล่าวต่อถึงรูปแบบการดำเนินคดีหรือขู่ดำเนินคดีพบว่า เป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้บ่อยมากที่สุดและในไทยก็มีกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการขู่ติดกันถึง 3 ครั้งว่าจะฟ้องสื่อ แม้ว่าจะมีหนึ่งครั้งที่เป็นการให้ข้อมูลผิดจากทาง กกต.เอง ทำให้สุดท้ายต้องขอโทษ The MATTER อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นว่าเวลาที่หน่วยงานรัฐเป็นผู้ให้ข้อมูลผิดเอง กลับไม่มีการลงโทษหรือต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังของโครงการยังมีข้อจำกัดอยู่คือสามารถนับข้อมูลได้เฉพาะที่มีการรายงานข่าวและมีหลักฐานชัดเจนเกิดขึ้น แต่ก็มีการคุกคามอย่างการเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อที่จะต้องนับรวมด้วย แต่ว่ามักจะไม่ปรากฏข่าวออกมาให้เห็นแม้ว่าจะเกิดค่อนข้างบ่อย
ผู้ประสานงาน PFMSea ยังกล่าวถึงอีกปัญหาว่าหลายครั้งคนทำงานสื่อเองไม่ได้มองว่าตัวเองถูกคุกคามอยู่แต่มองว่าเป็นเรื่องปกติที่เจออยู่ในการทำงานอยู่แล้ว ไม่ว่าการข่มขู่คุกคาม ถูกพูดด้อยค่าโดยเฉพาะกับนักข่าวรุ่นเก่า ทำให้ไม่มีการรายงานกลับมาว่าถูกคุกคาม นอกจากนั้นยังนิยามของคำว่า “คุกคาม” มีความคลุมเครือ เพราะหากมองว่าประชาชนเป็นเหยื่อที่ถูกสื่อรายงานข่าวอย่างบิดเบือนข้อเท็จจริง ประชาชนจะสามารถฟ้องดำเนินคดีสื่อได้หรือไม่ และจะถือว่าเป็นการคุกคามสื่อหรือไม่? ไปจนถึงการที่สื่อถูก “ทัวร์ลง” ในสื่อสังคมออนไลน์จะถือเป็นการวิจารณ์การทำงานหรือเป็นการคุกคาม?
การสอดแนมเป็นปัญหาการเมือง อัพเวอร์ชั่น IOS ใช่จะแก้ไขได้
รัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล จากไอลอว์ ในฐานะผู้ที่ติดตามประเด็นเรื่องสปายแวร์เพกาซัสที่ถูกนำมาใช้กับนักกิจกรรม นักวิชาการ และนักการเมืองในไทย เขากล่าวว่า เรื่องการสอดแนมทางออนไลน์นั้นที่ผ่านมาเรื่องนี้อาจจะเคยเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนนักว่ามีการใช้ แต่เมื่อพบว่าเพกาซัสถูกนำมาใช้กับนักวิชาการ นักกิจกรรม และนักการเมืองในไทยถึง 35 คน ก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าเรื่องที่เป็นความเชื่อมาโดยตลอดนั้นเป็นเรื่องจริงว่ารัฐไทยมีความสามารถพอที่จะใช้เพกาซัสในการสอดส่องประชาชน
รัชพงษ์กล่าวว่าการตรวจสอบนี้ยังมีข้อจำกัดทางเทคนิคทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ถูกติดตั้งเพกาซัสด้วยหรือไม่ และยังไม่สามารถขยายการตรวจไปยังสื่อของสำนักข่าวอื่น ๆ ที่อยู่นอกเครือข่ายการทำงานของเขาได้
แต่นอกจากเรื่องทางเทคนิคแล้ว เจ้าหน้าที่จากไอลอว์ยังชี้ให้เห็นอีกข้อจำกัดคือการดำเนินคดีทางกฎหมาย ความยากคือการระบุว่าใครเป็นคนทำเพราะไม่รู้ว่ามีหน่วยงานรัฐใดบ้างที่มีเครื่องมือนี้ นอกจาก ปปส. ทางไอลอว์และเครือข่ายจึงร่วมกับผู้เสียหายที่รวมตัวกันฟ้องร้องดำเนินคดีกับบริษัทในอิสราเอลชื่อ NSO ที่เป็นผู้ผลิตต่อศาลแพ่งของไทย แต่ศาลไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าผู้เสียหายถูกกระทำต่างกรรมต่างวาระกันเป็นคนละความผิดต้องแยกฟ้อง จึงมีการฟ้องร้องใหม่อีกครั้งแยกกันคนละคดี
ความคืบหน้าเท่าที่เขาทราบทางศาลแพ่งได้มีหมายศาลไปถึงบริษัท NSO แล้ว ส่วนอีกคดีที่ฟ้องรัฐไทยต่องศาลปกครองไปในฐานละเมิด ศาลไม่รับโดยให้เหตุผลว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาต้องฟ้องศาลอาญา เขามีข้อสังเกตต่อเรื่องนี้ว่าคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ศาลยังไม่มีการพิจารณาลงไปในเนื้อหาของคดีเลยว่ามีสปายแวร์นี้อยู่จริงหรือไม่ แต่เป็นเรื่องเทคนิคกฎหมายทั้งหมดในการพิจารณาไม่รับฟ้องเป็นคดี
รัชพงษ์ยังชี้ให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่มีการใช้สปายแวร์ลักษณะนี้ว่าทำให้เกิดบรรยากาศความกลัวขึ้นในสังคมและการถูกละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวยังเป็นช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอื่น ๆ ตามมา เช่น เสรีภาพในการแสดงออกหรือเสรีภาพการชุมนุมเพราะเมื่อเจ้าหน้าที่รู้แล้วเป้าหมายกำลังจะทำอะไรก็อาจเข้ามาห้ามไม่ให้เกิดการการใช้เสรีภาพได้ก่อน ซึ่งด้วยตรรกะเดียวกันก็กระทบกับเสรีภาพของสื่อมวลชนได้เช่นกันเพราะเมื่อถูกรู้ก่อนว่าสื่อกำลังจะนำเสนอเรื่องอะไรก็อาจถูกเข้ามาห้าม ไปจนถึงสิทธิในร่างกายหากถูกรู้เส้นทางการเดินทางก็สามารถดักทำร้ายกันได้ และยังสร้างบรรยากาศความกลัวให้กับสังคมตามมา จนทำให้เกิดการเซนเซอร์ตัวเองของสื่อเมื่อรู้ว่าทำประเด็นไหนแล้วจะเกิดความเสี่ยงอย่างไร ไปจนถึงผู้ให้ข้อมูล (Whistleblower) อาจจะกลัวที่จะให้ข่าวกับสื่อเพราะอาจถูกติดตาม
ข้อเสนอจากเวที
ธีรนัยเสนอว่า ควรยกระดับความปลอดภัยในการทำงานของสื่อด้วย เพราะกรณีสตริงเกอร์ที่ทำงานในความเสี่ยงแต่ได้รับเงินเป็นชิ้น ส่งมากได้มากส่งน้อยได้น้อย แต่เงินที่ได้จากงานที่เสี่ยงก็ไม่ได้เพิ่ม แล้วก็ไม่มีเทรนนิ่งให้ ทั้งนี้ผู้ประสานงานของ PFMSea มองว่าปัญหาเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การไม่มีค่าเสี่ยงภัยให้กับนักข่าวส่วนหนึ่งมาจากนักข่าวไม่มีสหภาพแรงงานในองค์กรของตัวเองทำให้ไม่มีการรวมตัวกันต่อรองกับเจ้าของสื่อ
ธีรนัยยังเสนออีกว่าควรมีช่องทางให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายสำหรับสื่อมวลชนโดยเฉพาะ เพราะแม้ว่าในสำนักข่าวใหญ่ ๆ จะมีฝ่ายกฎหมายของตัวเองในการจัดการเรื่องคดี แต่เขาก็ยกตัวอย่างปัญหาของสำนักข่าวที่เขาเคยทำว่าฝ่ายกฎหมายของสำนักข่าวเองก็มีคดีที่บริษัทถูกฟ้องต้องรับผิดชอบเป็นจำนวนมากจนมองว่าบางคดีอาจจะไม่คุ้มสู้ แล้วเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองไปแทนด้วยการถอดข่าวที่มีปัญหาออก ส่วนสื่อรายเล็กก็อาจจะไม่ได้มีฝ่ายกฎหมายของตัวเองในการรับมือเรื่องนี้
การต่อสู้ทางคดีนอกจากคดีเชิงรับที่สำนักข่าวถูกฟ้องแล้ว สำนักข่าวเองก็ควรจะมีช่องทางทางกฎหมายในการสู้คดีเชิงรุกด้วย เช่น มีทนายความทำคดีฟ้องกลับกรณีที่นักข่าวถูกทำร้ายร่างกายระหว่างปฏิบัติงาน หรือมีทนายความที่ช่วยสู้คดีที่สำนักข่าวถูกฟ้องให้ไปถึงศาลฎีกา เพื่อให้มีการวางแนวฎีกาของคดีความนั้น ๆ
ผู้ประสานงานของ PFMSea มองว่าบทบาทสมาคมวิชาชีพสื่อที่ไม่แข็งแรงก็จะกระทบต่อวงการสื่อด้วย เพราะที่ผ่านมาเวลาภาครัฐอยากจะทำอะไรกับสื่อก็มักจะเข้าหากับทางสมาคมวิชาชีพ เพื่อพูดคุยมากกว่าไปที่สำนักข่าวโดยตรงอยู่แล้ว และเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สมาคมวิชาชีพสื่อยังไม่ค่อยมีการแสดงท่าทีหรือแถลงการณ์มากนักต่อกรณีมีนักข่าวที่ถูกคุกคามจนเป็นข่าวแล้ว แม้ว่าทางสมาคมวิชาชีพจะมีการเข้าไปถามความต้องการของนักข่าวอยู่บ้าง ว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ซึ่งทำให้เห็นว่าสมาคมเองมองแต่ในส่วนที่เป็นความต้องการของนักข่าวในฐานะปัจเจกมากกว่า เรื่องนี้เขาเห็นว่าสมาคมวิชาชีพเองควรต้องมีการออกมาแสดงท่าทีต่อการคุกคามที่เกิดขึ้นกับนักข่าวมากกว่านี้
ส่วนประเด็นที่ฝากถึงรัฐบาลใหม่ การแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกก็จะส่งผลต่อท่าทีของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ตามมาด้วยเพราะหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ก็มักจะคอยมองทิศทางท่าทีของฝ่ายบริหารอยู่แล้วถ้ารัฐบาลมีท่าทีที่ชัดดีต่อเรื่องนี้หน่วยงานรัฐก็จะมีท่าทีไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้ประสานงานของ PFMSea มีข้อเสนอต่อองค์กรเอ็นจีโอไปจนถึงองค์กรแหล่งทุนจากต่างประเทศว่า ควรมีบทบาทในการส่งเสริมเสรีภาพสื่อ เพราะจะเห็นว่าบทบาทของรัฐไทยต่อเสรีภาพสื่อเป็นอย่างไร ส่วนภาคธุรกิจไทยเองเวลาพูดเรื่องเสรีภาพการแสดงออกขึ้นมาก็มองว่าเป็นเรื่องการเมืองไม่อยากจะเข้ามายุ่ง จึงไม่สามารถคาดหวังให้โครงการส่งเสริมเสรีภาพสื่อจะได้รับทุนจากภายในประเทศได้ ทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งทุนจากองค์กรระหว่างประเทศหรือสถานทูตต่าง ๆ
ธีรนัยยังเสนอให้มีการปฏิรูปกระบวนการในชั้นศาลเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ SLAPP เพราะเมื่อห้ามคนฟ้องไม่ได้ แต่ศาลก็สามารถตัดคดีทิ้งได้ เขายกตัวอย่างมาตรา 161/1 ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เปิดให้ศาลและอัยการสามารถไม่ฟ้องหรือไม่รับฟ้องคดีที่เห็นว่ามีเจตนาฟ้องโดยไม่สุจริตได้แต่ในความเป็นจริงไม่ถูกใช้ และเท่าที่เคยคุยกับอัยการเองก็เคยบอกว่าถ้าใช้มาตรานี้แล้วตัวอัยการเองก็อาจจะถูกฟ้องด้วยมาตรา 157 ได้
สุดท้ายผู้ประสานงานของ PFMSea ยังเสนอให้มีการเสริมสร้างการเฝ้าระวังการคุกคามสื่อที่เป็นระบบ ถ้ามีการทำฐานข้อมูลการคุกคามสื่อก็จะมองเห็นรูปแบบของการละเมิดสิทธิได้และจะทำให้วางมาตรการรับมือหรือป้องกันการคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะฝ่ายผู้ลงมือคุกคามเองก็มีการพัฒนารูปแบบการคุกคามไปเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ทำให้แก้ปัญหาได้ถูกจุดมากขึ้น เพราะการแก้ปัญหาด้วยการฝึกอบรมนักข่าวอาจจะไม่เพียงพอ
ด้าน จุฑารัตน์กล่าวว่า คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีความเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพสื่อมากขึ้นแม้ว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะมีการรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ขั้นต่ำที่ควรจะมีอย่างการไม่ละเมิดและขัดขวางการใช้สิทธิเสรีภาพก็ยังเกิดขึ้นอยู่เพราะไทยมีเรื่องความมั่นคงของรัฐที่ถูกเอามาตีความใช้อย่างกว้างขวางมาก แต่ยิ่งกว่าการไม่ละเมิดสิทธิแล้วรัฐยังต้องส่งเสริมเสรีภาพสื่อเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่รับรองไว้ด้วย แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นให้เกิดการจำกัดสิทธิเสรีภาพอยู่ได้บ้างแต่ก็ต้องก็มี 3 ขั้นตอนที่ต้องเอามาพิจารณาคือ 1.ต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเท่านั้น และ 2.เมื่อจะใช้ความรุนแรงหรือกำลังก็ต้องทำอย่างได้สัดส่วน สุดท้ายขั้นที่ 3.เมื่อจำกัดสิทธิหรือใช้กำลังแล้วจะต้องมีความรับผิดรับชอบตามมาด้วย แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นว่ารัฐทำทั้งสามขั้นตอนนี้ชัดเจนนัก
จุฑารัตน์ยังเสนอว่าควรจะมีช่องทางให้ประชาชนและสื่อเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายมากกว่านี้ เพราะตอนนี้เป็นเรื่องยากทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย เวลา และสื่อเองก็ยังอาจจะรู้สึกไม่สบายใจที่จะลุกขึ้นมาเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ที่ละเมิดสิทธิเอง
ขณะที่พรรษาสิริ มีข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่โดยเริ่มจากการมองว่า การปิดกั้นเสรีภาพสื่อและประชาชนนั้นเป็นเรื่องการเมืองสะท้อนระบอบการปกครองขณะนั้น ที่ผ่านมาหลักการประชาธิปไตยของเรามันบิดเบี้ยวจนเราลืมว่าเส้นมันอยู่ตรงไหน เพราะเราต่ำกว่าเส้นมานานมาก อย่างน้อย 8 ปีที่ถูกแช่แข็งทั้งรัฐบาลจากการรัฐประหารและ Guided Democracy หรือประชาธิปไตยที่ถูกสั่งการโดยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน ต่อมาเรามีตัวแทนจากการเลือกตั้งอย่างน้อยแนวคิดหลักการของประชาธิปไตยน่าจะมาคุยอีกเพราะท้ายที่สุดแล้วเสรีภาพสื่อ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
“เราพูดถึงสิทธิเสรีภาพสื่อ โดยไม่พูดถึงเสรีภาพประชาชนมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคนที่ทำงานสื่อก็ต้องเข้าใจว่าเราเอาสิทธิของประชาชนมาใช้ดังนั้นถ้าสมมติเห็นแก่ตัวเองว่าเราต้องปกป้องเสรีภาพและสิทธิของสื่อโดยที่เราไม่ได้ดูเลยว่าประชาชนเจออะไร มันไม่ได้” พรรษาสิริ กล่าว
สำหรับความคาดหวังต่อรัฐบาลเศรษฐานั้น พรรษาสิริ เสนอว่า ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนก่อนคำนึงถึงเสรีภาพสื่อ ดังนั้นคิดว่าสัญญาณที่ดีที่สุดในการที่รัฐบาลจะส่งว่าเรารับประกันเสรีภาพสื่อและประชาชนคืออย่างน้อยที่ภาคประชาชนส่งรายชื่อเสนอจัดทำประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ 2 แสนกว่าชื่อ หากมีสัญญาณต่อเรื่องนั้นว่าจะทำอย่างไรต่อจะเป็นการรับประกันว่าเห็นเสียงของประชาชนว่ามีคุณค่าเท่าใด ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ที่สิทธิต่าง ๆ จะถูกรื้อฟื้นมา
ประเด็นต่อมาสิ่งที่กลัวหรือเกร็ง และภาวะการสอดแนม คือ ประเด็นการก้าวล่วงสถาบันฯ อย่างที่นำเสนอให้เห็นกรณีการชุมนุมแล้วรัฐบาลก่อนหน้านี้ใช้ทุกมาตรการในการปิดกั้นผู้ชุมนุมรวมทั้งสื่อด้วย เนื่องจากข้อเรียกร้องสถาบันกษัตริย์เป็นภัยต่อความมั่นคง ดังนั้นสัญญาณที่รัฐบาลชุดใหม่จะส่งให้เห็นว่ารัฐบาลเห็นความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพการแสดงความเห็นก็คือพิจารณา ม.112 ที่เป็นปัญหาปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชน แม้ไม่แก้ตัวกฎหมาย รัฐบาลก็ควรพูดคุยก็จะทำให้เห็นว่าสังคมไทยจะก้าวไปอย่างไร ไม่เช่นนั้นสังคมไทยก็ยังคาราคาซังอยู่ที่เดิม
ส่วนรัชพงษ์เห็นว่าด้วยความสามารถของสปายแวร์ที่ป้องกันได้ยากลักษณะนี้เป็นเสมือนแมวไล่จับหนู เพราะแม้วันหนึ่งบริษัทสมาร์ทโฟนจะออกอัพเดตแพทช์มาป้องกันได้แต่เทคโนโลยีของสปายแวร์ก็พัฒนาความสามารถในการเจาะระบบป้องกันได้ด้วยเช่นกัน
“ปัญหาในเรื่องการสอดส่องในโลกออนไลน์หรือโลกความเป็นจริง โดยเนื้อแท้แล้วเป็นปัญหาการเมืองทั้งนั้นมันหมายความว่าเราต้องไปศึกษาเพื่อออกกฎหมายมาจำกัดการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการสอดส่องและเทคโนโลยีเหล่านี้เทียบกับอาวุธประเภทหนึ่งในทางการค้าระหว่างประเทศ เพราะบริษัท NSO ขายให้กับรัฐบาลเท่านั้นเขาไม่ขายให้เอกชนผมมีเงินพันล้านก็ซื้อไม่ได้ผมต้องทำในนามรัฐบาลเท่านั้นและจะต้องไปขอซื้อและได้รับการอนุมัติจากกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลที่เป็นรัฐบาลเพราะถูกตีว่าเป็นอาวุธ” รัชพงษ์กล่าว
รัชพงษ์เสนอว่าจะต้องมีการศึกษากฎหมายที่เป็นการทำข้อตกลงระหว่างประเทศร่วมกันเพื่อควบคุมการขายและใช้อาวุธลักษณะนี้ และสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อสร้างความโปร่งใสในการใช้สปายแวร์เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องชี้แจงได้ว่าถูกใช้กับใคร หน่วยงานใดบ้างที่ใช้ และบริษัทเองก็ไม่ยอมบอกว่าประเทศใดเป็นลูกค้าบ้าง
การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่มี accountability ที่หมายถึงเมื่อมีการใช้อำนาจอย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้วจะต้องอธิบายเรื่องนี้กับใคร ซึ่งในระบบการเมืองไทยยังไม่มีเรื่องนี้ และการใช้เพกาซัสก็สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยไม่มี accountability เพราะเมื่อรัฐบาลไทยถูกเปิดโปงเรื่องนี้แล้วกลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าตกลงมีหรือไม่มีการใช้สปายแวร์ในการสอดส่องประชาชนกันแน่ ดังนั้นรัฐบาลใหม่จะต้องทำให้เกิดการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง