ภาพเชือกไนลอนขนาดเท่าเชือกมัดควายความยาวหลากสี เพราะมีหลายเส้นมาต่อกันแล้วนำมาขึงเป็นความยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรในหลายจุดตามถนนในหมู่บ้านของตำบล ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเส้นทางของน้ำไปเรียบร้อยแล้ว นี่คือนวัตกรรมที่ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลไร่ใต้ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ช่วยกันประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเอาไว้ดึงในยามที่เกิดภาวะน้ำท่วม การขึงเส้นเชือกมีวัตถุประสงค์ 2 ประการหลักๆคือ หนึ่ง เอาไว้เป็นเส้นเชือกเพื่อดึงเรือ ทั้งเรือหาปลาของชาวบ้านและเรือท้องแบนหรือหรือเรืออื่นๆตามที่ระดมกันมาในช่วงภาวะน้ำท่วมเพื่อให้เรือพุ่งไปข้างหน้าแทนการพายซึ่งต้องต่อสู้กับความเชี่ยวของน้ำ และประการที่สอง การขึงเชือกทำให้สามารถควบคุมทิศทางของคนและเรือได้ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นจุดตัดถนนสี่แยกน้ำตรงนั้นจะไหลเชี่ยวมาก เพราะถนนในช่วงน้ำท่วมก็คือทางของน้ำๆดีๆนี่เอง ดังนั้นถ้าชาวบ้านใช้เรือหรือเดินลุยน้ำผ่านตรงจุดนี้น้ำจะไหลเชี่ยวถ้าไม่เกาะเชือกทั้งคนและเรือก็มีสิทธิ์ไหลไปตามน้ำ
“เชือกขึงดึงเรือ” จริงๆแล้วไม่ใช่นวัตกรรมอะไรที่ซับซ้อนหรอก และคนคิดรูปแบบว่าต้องใช้เชือกมาช่วยดึงและกำกับเส้นทางในช่วงน้ำท่วมจริงๆแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือนวัตกรรม รวมถึงถ้าตอนนี้จะไปตามหาคนแรกที่คิดรูปแบบนี้ก็หาไม่เจอ เพราะมันเป็นความพยายามในการเอาตัวรอดในภาวะวิกฤติน้ำท่วมชุมชน อันที่จริงปรากฏการณ์เหล่านี้มันคือความพยายามดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดในท่ามกลางการจัดการที่โกลาหลไม่รู้ใครเป็นใคร ดังนั้นใครคิดอะไรออกและหยิบจับอะไรได้ก็จะช่วยกัน แต่ถ้ามองในแง่โครงสร้างการบริหารจัดการ ปรากฏการณ์นี้ก็สะท้อนได้ถึงความไม่มีระบบของรัฐในการสนับสนุนชาวบ้านว่าถ้าพวกเขาต้องเผชิญกับภัยพิบัติน้ำท่วม แต่ละพื้นที่ต้องจัดการอย่างไร ที่สำคัญเหตุที่เชือกที่นำมาขึงมีหลายสีต่อกัน ก็เพราะเชือกแต่ละเส้นมาจากเงินต่างกระเป๋าของชาวบ้านที่ไม่สามารถเบิกงบแม้แต่บาทเดียวได้จากหน่วยงานไหน ทั้งที่ประชาชนเสียภาษีทุกเช้าค่ำ แต่พอภัยพิบัติมาพวกเขากลับถูกเมินเฉยให้ช่วยตัวเอง
ที่เล่ามาทั้งหมดในเบื้องต้น ไม่ได้บอกว่าให้หน่วยงานรัฐต้องเข้ามาสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้ชาวบ้านเอาไปซื้อเชือก หากแต่อยากบอกว่านี่คือบางตัวอย่างของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วม ว่าพวกเขามีแนวทางในการจัดการตัวเองในเบื้องต้นอย่างไร โดยเสียงบอกเล่านี้เราได้ยินจากการจัดเวทีระดมความคิดเห็นรับมือภัยพิบัติลุ่มน้ำภาคอีสาน ซึ่งถูกจัดขึ้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลไร่ใต้ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยตำบลไร่ใต้เป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีย้อนหลัง เริ่มตั้งแต่ ปี 2556, 2557, 2562 และล่าสุดปี 2565
“มีคนบอกว่า ช่วยไม่ได้ที่ชาวบ้านตำบลไร่ใต้เลือกมาอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมเอง รู้ว่าน้ำท่วมยังมาอยู่อีก เรื่องนี้ผมอยากเถียงมาก เพราะจริงๆแล้วบรรพบุรุษพวกเราไม่ได้พามาอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม แต่ย้ายมาอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำลำโดมใหญ่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของพรรณพืชและปลา และน้ำท่วมหนักและถี่ก็เพิ่งเกิดในช่วง 10 ปี ย้อนหลัง เพราะพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติถูกถม และที่สำคัญเขื่อนหลายๆเขื่อนในหลายแม่น้ำก็ถูกสร้างขวางทางน้ำ และเมื่อน้ำระบายไม่ดีมันก็ท่วม นี่แหละคือสาเหตุของมัน ไม่ใช่เรามาแย่งที่อยู่ของน้ำ” ประเวช จันทร์จิตร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลไร่ใต้ เล่าความรู้สึกในใจในช่วงกล่าวต้อนรับและเปิดงาน แต่คำบอกเล่านั้นมีอารมณ์ปนความคับแค้นข้างในด้วยเพราะสังคมบางส่วนที่ไม่เข้าใจหาว่าบรรพบุรุษพามาอยู่ในที่น้ำท่วม
ตำบลไร่ใต้มีเนื้อที่โดยประมาณ 104 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 8,000 คน ตั้งขนาบแม่น้ำลำโดมใหญ่ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำมูล แบ่งการปกครองออกเป็น 15 หมู่บ้าน ในช่วง 10 ปี ย้อนหลัง ที่นี่เผชิญเหตุน้ำท่วมแล้วทั้งสิ้น 4 ครั้ง ไล่มาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2556 ได้เกิดอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ของตำบล จำนวน 14 หมู่บ้าน จากทั้งหมด 15 หมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านกว่า 1,200 คน ต่างได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ครั้งนี้ ทั้งไร่นา บ้านเรือน ถูกน้ำท่วมจนได้รับความเสียหายอย่างมาก และชาวบ้านคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไหนจะรุนแรงเท่านี้อีกแล้ว และความถี่ของสถานการณ์คงมีไม่บ่อยนัก หากแต่ถัดกันปีเดียว คือปี 2557 น้ำได้ท่วมซ้ำและท่วมเร็วมากกว่าเดิม แม้ความรุนแรงจะไม่เท่าปีก่อน แต่ก็ถือว่ามีการท่วมที่เกิดขึ้นปีต่อปี
กระทั่งในเดือนกันยายน ปี 2562 ด้วยอิทธิพลของพายุโพดุลและคาจิกิ ส่งผลให้เกิดฝนตกต่อเนื่อง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม – 4 กันยายน 2562 ผลที่เกิดขึ้นคือปริมาณน้ำท่วมสูงจนทำลายสถิติปี 2556 และคิดว่าครั้งนี้คงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งการท่วมครั้งนี้มีความรุนแรงในวงกว้าง เพราะไม่ใช่เฉพาะชุมชนตำบลไร่ใต้ หากแต่รวมถึงพื้นที่อื่นๆในจังหวัดอุบลราชธานี โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และ 23 อำเภอจากทั้งหมด 25 อำเภอก็ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมคราวนี้เช่นกัน ส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจของจังหวัดโดยรวมประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท
และอีก 3 ปีถัดมาคือล่าสุดปี 2565 จากอิทธิพลของพายุโนรูในช่วงปลายเดือนกันยายนคาบเกี่ยวมาถึงเดือนตุลาคม น้ำได้ท่วมหนักอีกรอบ ส่งผลความเสียหายต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดกว่า 6,000 ล้านบาท และในส่วนของตำบลไร่ใต้เองปริมาณน้ำท่วมคราวนี้ ได้ทำลายทุกสถิติของชุมชนที่เคยมีมาก่อน นับเป็นความรุนแรงและก่อให้เกิดข้อกังวลหลายด้านต่อชาวบ้าน จนเกือบจะเป็นภาพจำไปแล้วว่า ในทุกๆเดือนกันยายน – ตุลาคม ของทุกๆปี เหตุการณ์น้ำท่วมจะวนมาซ้ำอีกหรือไม่ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้มีความต่างจากอดีตอย่างมาก เพราะในครั้งอดีตแม้จะเคยเกิดน้ำท่วม แต่ก็เป็นเพียงการไหลบ่าประกอบกับความรุนแรงและความถี่ไม่ได้เกิดบ่อยเหมือนเช่นทุกวันนี้
ฉะนั้นเวทีในครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนการสรุปบทเรียนจากประสบการณ์ในการรับมือน้ำท่วมในทุกครั้งที่ผ่านมา และพยายามมองไปข้างหน้าว่าเราจะต้องทำอย่างไร ทั้งการอยู่กับน้ำที่ต้องยอมรับว่าอนาคตน้ำจะท่วมบ่อยและถี่ขึ้น ดังนั้นชาวบ้านต้องปรับตัวอย่างไร ที่สำคัญรัฐส่วนกลางที่มีทั้งอำนาจและงบประมาณจะเข้าใจมิติน้ำท่วมชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน เพราะในสถานการณ์น้ำท่วมนั้นมีข้อมูลยิบย่อย เรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่เป็นเรื่องจุกจิกซึ่งต้องอาศัยผู้นำระดับชุมชนเท่านั้นที่จะทำความเข้าใจและแก้ปัญหาได้ เช่น ปัญหาคนแก่ไม่อยากออกจากบ้านในช่วงน้ำขึ้น หรือชาวบ้านหลายหลังคาเรือนไม่เชื่อข้อมูลและคาดการณ์ไม่ถึงว่าน้ำจะท่วมสูง จึงไม่ยอมอพยพสิ่งของออกมา หรือการแย่งเรือท้องแบน ปัญหาไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าช๊อต และเรื่องอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งคนต้องรับหน้าที่และเข้าใจพร้อมทั้งแก้ปัญหาในทุกเรื่องคือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบต. คณะกรรมการหมู่บ้าน อสม. และเหล่าบรรดาจิตอาสาที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบ “ไม่มีงบประมาณ”
“ปัญหาคือหรือรัฐส่วนกลางกระจุกตัวอำนาจ ไม่ยอมกระจายการตัดสินใจมาให้ท้องถิ่นหรือผู้นำชุมชนบริหารจัดการ ต้องรอการอนุมัติจากส่วนกลาง ซึ่งไม่ทันท่วงทีที่จะรับมือกับปัญหา” เสียงสะท้อนจากหลายคนในเวทีที่พูดประเด็นนี้ และแน่นอนคำว่า “อำนาจ” ความหมายที่ซ้อนอยู่ในคำนี้ก็คือ “เงิน” ซึ่งที่ผ่านมาชุมชนไม่มีเงินหรืองบประมาณจากรัฐในการรับมือเพื่อแก้ปัญหา ดีที่ชาวบ้านมีความสามัคคีเป็นทุนเดิม และเมื่อภัยมาทุกคนก็จะมีน้ำใจต่อกันและกัน เราจึงได้เห็นภาพการช่วยเหลือทั้งคนในชุมชนกันเองและคนนอกชุมชนที่เข้ามาช่วย แต่รู้ไหมว่าบางปัญหานั้นกว่าการช่วยเหลือจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่คนนอกจะเข้ามาช่วยปัญหามันได้ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านสูญเสียข้าวของไปเยอะแล้วความช่วยเหลือถึงเข้ามาถึง เพราะในช่วงที่น้ำขึ้นหรือช่วงที่น้ำอยู่ในระดับสูง คนจากข้างนอกไม่มีทางที่จะเข้าไปหาชุมชนที่เดือดร้อนได้ เพราะอุปสรรคในช่วงน้ำท่วมนั้นเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะเส้นทางจราจรที่คนในชุมชนเท่านั้นถึงจะรู้ว่าต้องไปทางไหนถึงจะหนีน้ำได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็สะท้อนถึงระบบการสื่อสารที่ยังเป็นปัญหา
“น้ำมาจากทางไหนบ้างเราก็ไม่รู้ แม้ว่าเราจะรู้ว่าเราเป็นหมู่บ้านปลายน้ำที่น้ำจากด้านบนต้องไหลมาอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าน้ำจากด้านบนที่ถูกปล่อยมามีปริมาณเท่าไหร่” อีกหนึ่งเสียงสะท้อนจากตัวแทนผู้ใหญ่บ้านที่เอ่ยถึงระบบการแจ้งเตือน โดยเฉพาะข้อมูลจากหน่วยงานที่ดูแลไม่ว่าจะเป็นชลประทานหรือสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และแม้ว่าหน่วยงานเหล่านี้จะบอกว่ามีการแจ้งข้อมูลตลอด แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็แปลความหมายยากเหลือเกิน เพราะเป็นศัพท์เฉพาะทางเทคนิค เช่น คำว่า มวลน้ำ, ปริมาณน้ำไหลลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือศัพท์อื่นๆที่คล้ายกัน ซึ่งชาวบ้านฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แม้จะเป็นระดับผู้นำชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน หรือ ส.อบต. ซึ่งมีความจำเป็นที่ทุกคนต้องนำข้อมูลมาสื่อสารต่อ และเมื่อไม่เข้าใจศัพท์ก็ได้แต่คาดเดาและเตือนกันแบบภาษาชาวบ้าน
“เงินทุกบ้านทุกสตางค์ที่ช่วยกันทั้งในช่วงน้ำท่วมและหลังน้ำลด ล้วนแต่เป็นเงินของชาวบ้านเอง โดยเฉพาะผู้นำที่ต้องเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเรือ ค่าอาหาร เครื่องดื่มในการจัดเวรยาม หรือค่าน้ำมันเรืออพยพ และช่วงน้ำลดก็ต้องจ้างรถไถมาตักดินที่เป็นตะกอนถมถนนให้สามารถใช้ได้ปกติ เราต้องออกเงินเองทุกบาท” วริษา คูณผล ผู้ใหญ่บ้านไร่กลาง หนึ่งในผู้นำที่เข้าร่วมเวทีได้สะท้อนปัญหาเพิ่มเติมถึงการจัดการในหมู่ชุมชนกันเองที่ต้องระดมทุกวิถีทางเพื่อให้พ้นภาวะวิกฤติในแต่ละปี และต่อเรื่องนี้ พนา ใจตรง ตัวแทนพรรคก้าวไกลและในฐานะผู้ช่วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทีมผู้จัดได้เชิญเข้ามารับฟังปัญหา ได้นำเสนอในเวทีในช่วงหนึ่งว่า “จริงๆแล้วราชการมีงบส่วนกลางที่ตั้งไว้แล้ว โดยจังหวัดสามารถอนุมัติเงินเอามาช่วยเหลือน้ำท่วมได้เป็นเงินตั้ง 40 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าปีที่แล้วผู้ว่าฯ ไม่สั่งอนุมัติ ก็เลยกลายเป็นว่าชาวบ้านไม่มีเงินช่วยเหลือกัน”
ถ้าเป็นจริงดังที่ผู้ช่วย ส.ส.พูด ก็เป็นเรื่องที่น่าเจ็บใจมาก เพราะแม้ว่าจะมีเงิน แต่ปัญหาก็อยู่แค่การเซ็นต์อนุมัติเพียงไม่กี่วินาทีของผู้ว่าราชการ เพราะถ้ารัฐส่วนกลางเข้าใจปัญหาและยอมให้อำนาจรวมถึงเงินกับผู้นำท้องถิ่นมาจัดการแบบเข้าใจปัญหาตัวเอง เรื่องราวแบบ “นวัตกรรมเชือกหลากสี” คงไม่เกิดขึ้น
สุดท้ายเราหวังว่าเรื่องนี้จะดังไปถึงรัฐสภา และเราดีใจมากที่มีตัวแทนพรรคการเมืองมารับฟังปัญหาพร้อมทั้งหอบเอาเอกสารที่เราเรียบเรียงในเวทีเพื่อส่งให้ผู้แทนราษฎรไปเสนอต่อ ให้เรื่องของชาวบ้านเป็นวาระสำคัญที่นักการเมืองและคนกำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก