“รากแห่งหมอกควัน ฝุ่นพิษเริ่มต้นในภาคเหนือ”
ปฐมบทของปัญหาหมอกควันในภาคเหนือตอนบน เริ่มปรากฏชัดในปี2550 เป็นต้นมา ซึ่งสร้างผลกระเทือนมหาศาลโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่หยุดชะงักจากอุบัติภัยทาง การจราจร และปัญหาสุขภาพของประชาชน มีการประเมินมูลค่า ความเสียหายในครั้งนั้นไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท!
(ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อมกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2555)
เชียงใหม่ท่ามกลางฝุ่นควัน
ช่วงแรกมีการหาสาเหตุของการเกิดปัญหาหมอกควันว่ามาจากไหนและมีการสรุปว่าส่วนใหญ่เป็นผลพวงมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งจำแนกได้ดังนี้
- กิจกรรมประจำวันในเขตเมืองเชียงใหม่เป็นตัวก่อให้เกิดสภาพควันพิษ ไม่มีการบังคับใช้ “ผังเมือง” จึงไม่มีความคล่องตัวของการระบายอากาศในพื้นที่
- การเผาใบไม้และวัสดุต่าง ๆ ตามถนนและเขตทาง
- เกษตรกรใช้การเผาเพื่อเปิดพื้นที่เกษตรกรในพื้นที่ราบ การเผาตอซังที่เป็นเศษซากวัสดุเกิดขึ้นหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต
- เกษตรกรบนที่สูงใช้วิธีการเผาโดยสร้างแนวกันไฟเพื่อควบคุมการเผาพืชไร่ในชุมชน ป้องกันการลุกลามของไฟไปสู่พื้นที่อื่น ๆ
- การเผาที่ไม่มีแนวกันไฟมักก่อให้เกิดหมอกควันมากที่สุด และเป็นเหตุผลให้คนในพื้นที่เผชิญกับปัญหาที่ยากลำบากในการจัดการและแก้ไข
จากสาเหตุเหล่านี้ได้ทำให้สถานการณ์หมอกควันเลวร้าย ทุกปีด้วยขนาดของผลกระทบจากแหล่งที่มาของปัญหาหมอกควันมีอาณาเขตกว้างใหญ่
ข้ามเขตแดนได้ (Cross BorderPollution) ทั้งยังมีความสลับซับซ้อนความคลุมเครือด้านภาระความรับผิดชอบ ต่อปัญหาดังกล่าวระหว่างหน่วยงาน องค์กรหรือชุมชนทั้งหลาย
จึงกลายเป็นเงื่อนไขต่อสัมฤทธิ์ผลในการแก้ปัญหา และการผลักภาระความรับผิดชอบ (Free Rider) ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในที่สุด(ข้อมูลจากงานวิจัยปี 54)
สภาพพื้นที่ของเชียงใหม่และลำพูนมีลักษณะแอ่งกะทะ ที่อากาศชั้นบนกดลงหรือเรียกว่า Subsidence inversion ทำให้ควันไฟกระจายใกล้พื้นดิน และอากาศร้อนที่ไม่สามารถลอยขึ้นไปสู่บรรยากาศที่สูงขึ้นได้
(ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2555)
ในปี 2555 นายแพทย์พงศ์เทพ วิวรรธนะเดช จากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รายงานว่า ปัญหาหมอกควันรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่มกราคม และค่ามาตรฐาน PM10 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงในวันที่ 14 มีนาคม อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ระหว่าง 1-7 มีนาคม 2555 มีผู้ป่วยใน 4 กลุ่มโรคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก (ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2555)
ในปี 2557 ภาวะความรุนแรงของปัญหาหมอกควันในช่วงฤดูแล้งในจังหวัดเชียงใหม่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ
ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศในช่วง 1 มกราคม-30 เมษายน 2557 เพิ่มขึ้น โดยค่าสูงสุดเท่ากับ 318 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ในช่วงเดียวกันของปี 2556 ซึ่งมีค่าสูงสุดเท่ากับ 229 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รวม 224,949 รายในช่วง 5 มกราคม-3 พฤษภาคม 2557
(กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 2557)
ในปีพ.ศ. 2557 คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงฤดูแล้งยังคงเป็นปัญหาสำหรับสุขภาพประชาชน
ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 เมษายน 2557 ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศของจังหวัดเชียงใหม่เฉลี่ยในระยะเวลา 24 ชั่วโมงมีค่าเฉลี่ยถึง 318 ไมโครกรัมต่อลูกกบาศก์เมตร เมื่อเปรียบเทียบกับปีพ.ศ. 2556 ในช่วงเวลาเดียวกัน ปริมาณฝุ่นละอองเพิ่มขึ้น
ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหมอกควันเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในระหว่างวันที่ 5 มกราคม – 3 พฤษภาคม 2557
มีผู้ป่วยรวมกลุ่มโรคตาอักเสบจำนวน 5,969 ราย
กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดจำนวน 126,464 ราย
กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดจำนวน 126,464 ราย
กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจจำนวน 81,575 ราย
และกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบจำนวน 10,941 ราย
ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่เชียงใหม่ (แหล่งอ้างอิง: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2557)
ปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง ช่วงสงกรานต์และหลังจากนั้น ภาคเหนือมีการกระจายปัญหาไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย นักท่องเที่ยวลดลงและรายได้เหลือเพียง 25% ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปัญหาควันพิษจากไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดลงมากขึ้น
มาตรการที่ถูกใช้ตั้งแต่แรกก็คือการประกาศห้ามเผา ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นมาตรการหลักจากภาครัฐอยู่ แต่ก็มีการเสนอแนวทางแก้ไขจากหลายภาคส่วนมาตลอดพอจะสรุปได้ดังนี้
- บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ให้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการเผาและสิ่งแวดล้อม เช่น กฎหมายเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ และพระราชบัญญัติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และข้อบัญญัติท้องถิ่น เพื่อให้การบังคับใช้เกิดขึ้นจริงจังและเข้มงวดขึ้น.
- เรียกให้ประชาชนร่วมมือ: ส่งเสริมให้ประชาชนรับผิดชอบในการรายงานเห็นการเผาและไฟไหม้ และให้กำลังใจให้ประชาชนเป็นตัวแทนในการแจ้งเหตุไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง.
- ปรับรูปแบบการรณรงค์: พัฒนาวิธีการรณรงค์ใหม่ที่มีความเข้มงวดและเข้าถึงประชาชนได้ง่าย เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการร่วมมือในการลดการเผา.
- ส่งเสริมมาตรการทดแทน: สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานทดแทน และการลดการเผาขยะ.
- สร้างมาตรการบังคับใช้: สร้างมาตรการบังคับใช้เพื่อลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้หน่วยงานท้องถิ่นเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการจัดการขยะและใบไม้แห้ง โดยสามารถใช้ผลส่วนลดภาษีเป็นส่วนต่างๆ ในการส่งเสริมการร่วมมือ.
- ส่งเสริมความรับผิดชอบของประชาชน: สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการลดการเผา ผ่านการเสนอส่วนลดภาษีหรือส่วนลดรายได้.
- และยังมีการเสนอให้ปรับโครงสร้างการปกครองให้กระจายอำนาจให้กับหน่วยงานท้องถิ่น โดยมีผู้บริหารสูงสุดระดับจังหวัดที่เลือกตั้ง และให้อำนาจทางภาษีและการจัดการถูกถ่ายโอนมายังท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหมอกควันและสนับสนุนการเสริมสร้างทรัพยากรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีการสรุปจากข้อมูลปี2562ว่า สาเหตุหลักของปัญหาหมอกควันคือการเผาไร่ข้าวโพดที่เกิดทั้งในพื้นที่ป่าและเกษตรกรรม การเผาไร่ทำให้พื้นที่ป่าลดลงและพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น มีการปลูกข้าวโพดมากขึ้น เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ จากนั้น การใช้ประโยชน์ที่ดินมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน ที่มาจากการเผาไร่ข้าวโพด ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงในปัจจุบัน
ความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเกษตรและปัญหาฝุ่นควันนับว่าเป็นสิ่งที่เราเข้าใจมาตลอด แต่จากการตั้งข้อสังเกตเฝ้าติดตามและสะสมข้อมูล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางที่น่าสนใจ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงของปัญหาฝุ่นควันคือปัญหาไฟไหม้ที่เกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นป่าขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเรียกชื่อได้ว่า “ไฟแปลงใหญ่”
จากข้อมูลจะพบว่าไฟป่าที่ก่อให้เกิดฝุ่นควันโดยสัดส่วน ไฟจากพื้นที่ป่าจะมีมากกว่าหลายเท่า และที่สำคัญพื้นที่เหล่านี้ มีหลายแหล่งที่มีปัญหาการไหม้ซ้ำซาก ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราคิดว่าสาเหตุหลักของปัญหาฝุ่นควัน มาจากการเกษตรแต่จากการนำเสนอข้อมูลใหม่ คุณ บันรส บัวคลี่(สภาลมหายใจ) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ปัญหาฝุ่นควันที่ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างเป็นผลมาจากการไฟแปลงใหญ่
นี้เป็นอาจจะเป็นการเริ่มต้นด้วยการสำรวจและด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจถึงศักยภาพและสาเหตุของปัญหาฝุ่นควันอย่างชัดเจน ไฟแปลงใหญ่นั้นเป็นจุดสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในปัญหาฝุ่นควัน และข้อมูลที่ได้รับให้เป็นแนวทางในการกำจัดปัญหาอย่างมีเสถียรภาพ
การนำเอาข้อมูลจาก Big Data เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงมาตรการก็เป็นแนวทางที่ได้ผลอย่างมาก การใช้ข้อมูลจากภาพดาวเทียมเพื่อจับรูปร่างรอยไหม้ของพื้นที่ มีการใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อระบุพื้นที่ที่เป็นจุดความร้อนในการเผาไหม้ ซึ่งส่งผลให้มีการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมและประสิทธิภาพ
สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดในการจัดการปัญหา จากเดิมคือการใช้พื้นที่ขอบเขตของจังหวัดเป็นหลัก สู่การเน้นที่พื้นที่ป่าที่มีการไหม้เป็นหลัก การวิเคราะห์แยกแยะประเภทของพื้นที่ ที่ไฟไหม้ เช่น พื้นที่ป่าใหญ่ ป่าห่างไกล และอื่นๆ ทำให้เราสามารถกำหนดมาตรการแก้ไขที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
“การนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใช้ Big Data ได้อย่างเชี่ยวชาญ ช่วยเราเข้าใจและแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างมีประสิทธิภาพ และการเปลี่ยนแนวคิดในการจัดการปัญหานี้จะเป็นแนวทางที่สามารถทำให้เรามีการตอบสนองที่มีความสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อการคุ้มครองสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว” บัณรส บัวคลี่ ประธานยุทธศาสตร์ สภาลมหายใจภาคเหนือ