สังเกตว่าหากเราขับรถผ่านไปแถวอำเภอ “อมก๋อย” จังหวัดเชียงใหม่ จะไม่ค่อยเห็นจุดชมวิวโล่ง ๆ ข้างทางมากเท่าในเขตอำเภออื่น ๆ เนื่องด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ของอมก๋อยนั้นหนาแน่นไปด้วยป่า และพื้นที่เกือบทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มากขนาดไหนก็คือหากคิดตามสัดส่วนของพื้นที่ทั้งหมด ชาวชุมชนมีเอกสารสิทธิเพียงแค่ร้อยละ 0.56 หมายความว่าคนเกือบจะทั้งหมดในอมก๋อยนั้นอยู่อาศัยในเขตป่า
หากคิดบนฐานที่ว่าพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่ให้ต้นไม้ได้เติบโต สัตว์ป่าอยู่อาศัย เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร คนจะถูกนับเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นศัตรูตัวอันตรายที่กิจกรรมในการดำรงชีวิตทั้งหลายจะทำให้ป่าเสื่อมโทรม ทางออกเดียวเมื่อตั้งสมมติฐานแบบนี้คือการแยกคนให้แยกขาดออกจากป่า แต่ทางแก้ปัญหานี้ฟังดูช่างย้อนแย้งเมื่อมีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ว่า ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิมซึ่งเป็นประชากรหลักของอำเภออมก๋อย หลายชุมชนอยู่อาศัยในพื้นที่นั้น ๆ ก่อนที่จะถูกประกาศว่าเป็นป่าโดยรัฐ
นับว่าเป็นเรื่องแปลก หากชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่กับป่ามาหลายร้อยปีและหลายต่อหลายชั่วอายุคน จะไม่รู้วิธีการอยู่ร่วมกับป่าอย่างสันติ เพราะเมื่อป่าเสื่อมโทรมคนกลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบก็คือพวกเขาเอง
เมื่อพบว่าในหลายพื้นที่มีปัจจัยพื้นฐานของชุมชนคล้าย ๆ กัน คือคนต้องอาศัยอยู่ร่วมกับป่า การไล่คนออกจากป่าดูจะไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน การแสวงหาจุดร่วมของคนกับป่าจึงเป็นความจำเป็นที่ผู้คนในแต่ละพื้นที่ต้องหาจุดสมดุลร่วมกัน
แล้วคนในป่าทำมาหากินอย่างไร?
ที่อมก๋อยเราจะไม่เห็นไร่ข้าวโพดกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาริมทางหลวงที่นี่เช่นในบางอำเภอในพื้นที่ภาคเหนือ กว่า 7 ปีมาแล้วที่หน่วยงานรัฐท้องถิ่นมีการขอความร่วมมือห้ามชาวอมก๋อยปลูกข้าวโพด (ได้มีการติดต่อเพื่อยืนยันข้อมูลกับทาง Facebook Page เทศบาลตำบลอมก๋อย ว่าการขอความร่วมมือเกิดขึ้นในปีใดระหว่างปี พ.ศ.2557 หรือ พ.ศ.2559 เพราะตัวเลขในรูปถ่ายไม่ชัดเจน แต่ไม่ได้รับคำตอบ ปีปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2566)
การห้ามปลูกข้าวโพดนี้เพื่อลดปัญหาหมอกควัน PM 2.5 ซึ่งในระยะหลังเป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกฤดูฝุ่น แม้สาเหตุที่ทำให้เกิด PM 2.5 มีหลากหลายที่มาก็ตาม ชุมชนที่อยู่อาศัยทำมาหากินในเขตป่ามักถูกทำให้ตกเป็นจำเลยเสมอมา อย่างไม่จำว่าต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ภาพของชาวเขาชาวดอยโค่นต้นไม้ใหญ่เพื่อปลูกข้าวโพดถูกทำให้เป็นภาพจำโดยสื่อ และคนเมืองแยกไม่ออกว่าอันไหนคือไร่ข้าวโพด อันไหนคือการทำไร่หมุนเวียน เอาเป็นว่าถ้าเห็นภูเขาในป่าที่ต้นไม้แหว่งไปก็ทึกทักว่าเป็นไร่ข้าวโพดไปเสียหมด
ข้าวโพด มักถูกทำให้เป็นจำเลยที่ 1 แม่โดยการเก็บสถิติใน ปี พ.ศ.2565 นั้นข้าวเสียด้วยซ้ำที่เป็นพืชซึ่งทำให้เกิดจุดความร้อนในการเผาสูงสุดในประเทศไทยจากการเก็บสถิติเมื่อ วันที่ 1 มี.ค. 2566 สำหรับพื้นที่ลาดชันแบบในอำเภออมก๋อยไม่เหมาะในการปลูกข้าว (แต่ดีต่อข้าวดอย ข้าวพันธุ์ท้องถิ่นต่าง ๆ) แต่ปลูกข้าวโพดได้ ด้วยข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกง่ายขายคล่อง ใช้แรงงานน้อย มีตลาดรับซื้อแน่นอน แต่การปลูกบนพื้นที่สูงและลาดชันมักมีปัญหาการขจัดซากต้นข้าวโพดเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในปีต่อไป วิธีการจัดการที่ง่ายสุดก็คือการเผา และเกษตรกรยังได้ธาตุอาหารกลับลงไปยังดินด้วย แต่ผลเสียคือทำให้เกิดฝุ่นควันทั้ง PM10 และ PM2.5 เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ
ทั้ง ๆ ที่ PM 2.5 เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงสถิติ ในหลายครั้งผู้คนในสังคมกลับใช้ความเชื่อนำทางและชี้นิ้วหาคนผิดไปที่ผู้คนบนดอย อย่างไม่ค่อยเหลือพื้นที่ให้ได้อธิบายต่อสังคมสักเท่าไหร่
แล้วถ้าคนอมก๋อยไม่ปลูกข้าวโพด เขาจะปลูกกันอะไรดี?
จริง ๆ พืชเศรษฐกิจของคนที่นี่ก็มีหลากหลาย แต่กาแฟคือหนึ่งในความเป็นไปได้ที่เปิดช่องเล็ก ๆ ให้คนและป่าได้อยู่ร่วม
จุดเด่นของกาแฟ คือเป็นพืชที่ชอบอยู่ใต้ร่มไม้ หากปลูกกลางแจ้งมักจะไม่งาม ให้ผลผลิตที่คุณภาพด้อยกว่ากาแฟที่ปลูกใต้ร่มไม้ ในที่นี้สามารถเป็นได้ทั้งป่าไม้ดั้งเดิมและสวนป่าที่ปลูกขี้นใหม่ ลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชันเป็นเนินเขาของอำเภออมก๋อยสร้างอัตลักษณ์ในรสชาติของกาแฟ
ทั้งสวนกาแฟยังเป็นมรดกที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ คนรุ่นใหม่จะอยู่ในชุมชนได้ต้องมีอาชีพรองรับ หากเกษตรกรปลูกแซมต้นกาแฟกับป่าหรือสวนที่ตนทำอยู่ ต้นกาแฟจะมีอายุได้อีกหลายสิบปี แต่ความท้าทาย คือ ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วการกำหนดราคาก็เป็นไปโดยพ่อค้าคนกลางตามกลไกการตลาด บางปีราคาดี บางปีราคาแย่ เป็นเรื่องเหนือการควบคุมคาดเดาของเกษตรกรและผู้แปรรูปรายย่อย
ความพยายามจะเพิ่มมูลค่ากาแฟ โดยเปลี่ยนจากการปลูกในเชิงปริมาณมาเป็นกาแฟที่เน้นคุณภาพ ทั้งในแง่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ปลูก การเก็บผลผลิต และการแปรรูป หากเกษตรกรและผู้ผลิตสามารถเติมความใส่ใจในทุกกระบวนการจะส่งผลให้ได้กาแฟคุณภาพ เนื่องจากกาแฟอมก๋อยนั้นปลูกในพื้นที่ห่างไกล แร่ธาตุในดินสร้างสรรค์รสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถเจาะฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ชื่นชอบในรสชาติของกาแฟที่มีลักษณะเฉพาะ คอกาแฟผู้เชี่ยวชาญถึงขนาดชิมปุ๊บก็รู้ปั๊บว่า
“นี่แหละ…กาแฟอมก๋อย”
ขอขอบคุณ: กาแฟรักษ์ป่าอมก๋อย
ที่มาข้อมูล:
- บีบีซีไทย – BBC Thai, ฝุ่น PM 2.5 : ไทยพบจุดความร้อนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2566 พบอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์-ป่าสงวนเกือบ 80%
- Facebook Page ส่องกล้อง มองอมก๋อย, “ต่อต้านการปลูกข้าวโพดในพื้นที่อมก๋อย”
- THECITIZEN.PLUS, เปิดบลูพรินท์แก้ฝุ่นโดยภาคประชาชน
- THECITIZEN.PLUS, บุกอมก๋อย : อ่านไฟ เพื่อเข้าใจฝุ่น
- สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), เรื่องเล่าจากพื้นที่ สร้างเศรษฐกิจชุมชนฐานรากเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย