คลองเปรมประชากรเป็นคลองสายแรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริให้ขุดขึ้นในปี พ.ศ. 2413 เพื่อเป็นคลองลัดเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าด้วยกัน เริ่มจากคลองผดุงกรุงเกษมบริเวณหน้าวัดโสมนัสวิหาร ไปทะลุแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรี อยุธยา ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตรเศษ มีความกว้างประมาณ 12 เมตร
โดยมีพระราชประสงค์เพื่อย่นระยะทางระหว่างกรุงเทพฯ กับกรุงเก่า (อยุธยา) เนื่องจากเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมเป็นทางน้ำอ้อมวกเวียนใช้เวลาเดินทางนาน และเพื่อขยายพื้นที่การทำนาริมสองฝั่งคลอง เพราะเดิมพื้นที่แถบนี้เป็นป่ารกเต็มไปด้วยโขลงช้างป่า ไม่มีใครไปบุกเบิกถากถาง เพราะไม่มีคลองน้ำ เมื่อขุดคลองขึ้นมาแล้ว ประชาชนจะได้มีความสะดวกสบาย ทั้งด้านการทำมาค้าขายและการสัญจรไปมา
ดังที่พระองค์ทรงบันทึกเอาไว้ว่า “จะให้ราษฎรได้ความเย็นใจ ราษฎรชายหญิง ทั้งคฤหัฐ บรรพชิต ลูกค้าวานิชและต่างภาษา ค้าขายขึ้นล่องคลองนี้โดยสะดวกทุกท่าน”
จึงโปรดเกล้าฯ จ้างแรงงานจีนมาขุด ใช้เวลาขุด 16 เดือน ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 2,544 ชั่ง 2 ตำลึง (ประมาณ 203,520 บาท) และพระราชทานนามว่า “คลองสวัสดิ์เปรมประชากร”
ในการขุดคลองครั้งนั้นได้มีการปักหมุดหมายริมคลองเปรมฯ จากคลองผดุงกรุงเกษมถึงพระนครศรีอยุธยา เพื่อบอกระยะทางทุกๆ 100 เส้น หรือ 4 กิโลเมตร รวม 13 หลัก แต่ปัจจุบันหลักหมุดทั้งหมดได้หายไป เหลือเพียงแต่ชื่อเช่น หลักสี่ (กรุงเทพฯ) และหลักหก (รังสิต)
ขณะเดียวกันเมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้รถยนต์ ใช้ถนนสัญจรไปมา คลองเปรมประชากรก็ลดความสำคัญลง….เมื่อเมืองมีการขยายตัว ที่ดินมีราคาแพง จึงทำให้มีผู้คนมาบุกเบิกจับจองสร้างบ้านเรือนริมสองฝั่งคลองเรียงรายหนาแน่น ตั้งแต่ย่านหลักสี่ ดอนเมือง รังสิต ปทุมธานี คนที่มาทีหลังหรือคนที่มีครอบครัวขยายก็ปลูกบ้านลงไปในคลอง จนกลายเป็นชุมชนต่าง ๆ รวมทั้งหมด 38 ชุมชน กว่า 6,000 ครอบครัว
วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และแผนฟื้นฟูคลองในกรุงเทพฯ
จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2554 สาเหตุหนึ่งมาจากการระบายน้ำในคลองสายหลักในกรุงเทพฯ ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีบ้านเรือนปลูกสร้างรุกล้ำลำคลองจำนวนมาก ทำให้ลำคลองคับแคบ ตื้นเขิน
ในปี 2555 คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้เสนอแผนงานการแก้ไขปัญหาและป้องกันน้ำท่วม ตามแผนจะมีการสร้างเขื่อนระบายน้ำและขุดลอกคลองในลำคลองสายหลักในกรุงเทพฯ จำนวน 9 แห่ง คือ คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร คลองบางเขน คลองสามวา คลองลาดบัวขาว คลองพระยาราชมนตรี คลองบางซื่อ คลองประเวศบุรีรมย์ และคลองพระโขนง แต่รัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ได้ดำเนินการ
ในสมัยรัฐบาล คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง ‘คณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ’ มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน เริ่มดำเนินการในคลองลาดพร้าวเป็นแห่งแรกในปี 2559 โดยกรุงเทพมหานครรับผิดชอบก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองลาดพร้าวเพื่อป้องกันน้ำท่วม ระยะทางทั้งสองฝั่งประมาณ 45 กิโลเมตร
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดทำโครงการรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชนที่สร้างบ้านเรือนรุกล้ำคลองลาดพร้าว (ที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ดูแล) จำนวน 50 ชุมชน รวม 7,069 ครัวเรือน โดยชุมชนเหล่านี้จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองและแนวก่อสร้างเขื่อน และ พอช.จะสนับสนุนงบประมาณและสินเชื่อการก่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่
มีหลักการสำคัญ คือ 1.ชุมชนที่รื้อบ้านแล้ว หากอาศัยอยู่ในชุมชนเดิมได้ ชุมชนจะต้องรวมกลุ่มกันในนามสหกรณ์เคหสถานเพื่อขอเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกต้องจากกรมธนารักษ์ เช่าระยะยาว 30 ปีในอัตราผ่อนปรน 2.หากที่ดินไม่เพียงพอ อาจจัดหา หรือซื้อที่ดินแปลงใหม่ เพื่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่
เริ่มรื้อย้ายบ้านที่รุกล้ำคลองเพื่อก่อสร้างบ้านหลังแรกที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ ซอยพหลโยธิน 54 (ตรงข้ามตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่) ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธานในพิธี ต่อมาในช่วงต้นปี 2560 การก่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่แห่งแรกริมคลองลาดพร้าวที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญก็แล้วเสร็จ รวมทั้งหมด 65 หลัง
(ปัจจุบัน การรื้อย้ายเพื่อก่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 35 ชุมชน 41 โครงการ สร้างบ้านเสร็จและมีประชาชนเข้าอยู่อาศัยแล้ว รวม 3,553 ครัวเรือน ส่วนการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองลาดพร้าว บริษัทรับเหมาก่อสร้างได้ก่อสร้างเขื่อนฯ โดยตอกเสาเข็มเพื่อเป็นฐานรากเขื่อน รวมระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตรเศษ จากระยะทางทั้งหมดประมาณ 45 กิโลเมตร)
การฟื้นฟูคลองเปรมประชากร…น้ำพระทัยจากในหลวง
ส่วนคลองเปรมประชากรที่ขุดในสมัยรัชกาลที่ 5 มีความยาวกว่า 50 กิโลเมตร เชื่อมกับคลองผดุงกรุงเกษมใจกลางพระนคร ผ่านหลักสี่ ดอนเมือง รังสิต ปทุมธานี และบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเคยเป็นคลองที่มีความสำคัญด้านการคมนาคม การขนส่งข้าวและสินค้าต่างๆ
แต่สภาพปัจจุบันกลับกลายเป็นท่อน้ำทิ้งขนาดใหญ่ มีสภาพไม่ต่างจากคลองลาดพร้าว คือ น้ำในคลองเน่าเสีย มีบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง รุกล้ำคูคลอง ทำให้ลำคลองคับแคบ ตื้นเขิน ขยะลอยฟ่อง กีดขวางทางไหลของน้ำ คลองไม่สามารถช่วยระบายน้ำในยามน้ำท่วมได้ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554
ความเสื่อมโทรมของคลองเปรมประชากรดังกล่าวนี้ อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากรทั้งระบบ เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของลำคลอง ทำให้ลำคลองกลับมาใสสะอาด
โดยพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาคลองเปรมประชากร ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 โดยจัดทำ ‘โครงการจิตอาสาพัฒนาคลองเปรมประชากร’ ขึ้นมา มีกิจกรรมต่างๆ เช่น ประชาชนจิตอาสาร่วมกันเก็บขยะในคลอง ขุดลอกคลอง ปรับสภาพน้ำในคลองให้สะอาดขึ้น รวมทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนริมคลอง ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขยายผลการดำเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ โดยจัดทำโครงการ ‘จิตอาสาพัฒนาด้านการเกษตร’ บริเวณคลองเปรมประชากร ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2566
โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น 1.การปรับภูมิทัศน์และพัฒนาพื้นที่สาธารณะบริเวณคลองเปรมประชากร 2. การปล่อยพันธุ์ปลาลงคลองเปรมประชากรและมอบพันธุ์ปลา 3. การพัฒนาส่งเสริมการเรียนรู้การงานอาชีพเกษตรกรรมให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดเปรมปรีชา และชาวบ้านในชุมชนตำบลเชียงรากน้อย การปลูกผัก การเลี้ยงปลาดุกและกบ ฯลฯ
จากโครงการจิตอาสาพัฒนาคลองเปรมประชากรตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 ต่อมาในวันที่ 9 เมษายน 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ‘แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร’ ระยะเวลาดำเนินการ 9 ปี (พ.ศ.2562-2570) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม และบำบัดน้ำเสียในคลองเปรมประชากรทั้งระบบ ความยาวทั้งหมด 50.8 กิโลเมตร
ทั้งนี้เนื่องจากคลองเปรมฯ เป็นลำคลองที่รับน้ำมาจากทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ จากอยุธยา-ปทุมธานี-ลงมาถึงกรุงเทพฯ และไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทย คลองเปรมฯ จึงมีความสำคัญในการช่วยระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยรัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแผนงานหลักระยะเร่งด่วน ปี 2562-2565 จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 4,448 ล้านบาท คือ
1.กรุงเทพมหานครดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำ จากถนนเทศบาลสงเคราะห์ – สุดเขต กทม. ระยะทางทั้งสองฝั่ง 27.2 กิโลเมตร วงเงิน 3,443 ล้านบาท
2.กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากรจากคลองบ้านใหม่ – คลองรังสิตประยูรศักดิ์ วงเงิน 980 ล้านบาท
- กรมชลประทานดำเนินการขุดลอกคลองเปรมประชากรในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ – คลองเชียงรากน้อย ระยะทาง 15.3 กิโลเมตร วงเงิน 16 ล้านบาท
- ขุดลอกคลองเปรมประชากรในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากคลองเชียงรากน้อย – สถานีสูบน้ำเปรมเหนือบางปะอิน ระยะทาง 8.1 กิโลเมตร วงเงิน 9 ล้านบาท
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองเปรมประชากรลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร สามารถระบายน้ำได้ประมาณ 60 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ใช้งบประมาณ 9,800 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำในพื้นที่เขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตจตุจักร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 650 ตารางกิโลเมตร
เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ รวมถึงยังช่วยรับน้ำฝนที่ระบายในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง คือ นนทบุรีและปทุมธานี และสามารถสูบน้ำกลับเพื่อเจือจางน้ำเสียในคลองเปรมประชากรได้อีกด้วย…!!
‘บ้านมั่นคง’ ของคนคลองเปรมฯ
ส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากรนั้น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ มีแผนพัฒนาเช่นเดียวกับชุมชนริมคลองลาดพร้าว ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจ พบว่า มีชุมชนริมคลองเปรมประชากรที่ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ในลำคลองและพื้นที่ริมตลิ่งซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุที่กรมธนารักษ์ดูแลอยู่ทั้งหมด38 ชุมชน รวม 6,386 ครัวเรือนในพื้นที่เขตจตุจักร หลักสี่ ดอนเมือง และใน จ.ปทุมธานี
โดยชุมชนเหล่านี้สามารถอยู่อาศัยในชุมชนเดิมได้ทั้งหมด แต่จะต้องรื้อย้ายขึ้นมาสร้างบ้านใหม่บนฝั่ง เพื่อให้พ้นแนวคลองและแนวก่อสร้างเขื่อน และจะต้องทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว (30 ปี) กับกรมธนารักษ์ในฐานะหน่วยงานดูแลที่ดินราชพัสดุ เปลี่ยนสถานะจาก “ผู้บุกรุกเป็นเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกกฎหมาย”
นอกจากนี้ตามแผนงานจะมีการปรับทัศนียภาพชุมชนริมคลอง ปลูกต้นไม้ให้มีความร่มรื่น เพื่อให้คลองเปรมประชากรมีความสวยงาม มีสภาพแวดล้อมที่ดี บ้านเรือนสวยงาม เปลี่ยนจากชุมชนแออัด เป็น “ชุมชนสุขภาวะดี” ส่งเสริมอาชีพชาวชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือ-ท่องเที่ยวชุมชน เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมรถ-ราง (ไฟฟ้า) -เรือ
การรองรับที่อยู่อาศัยชาวชุมชนริมคลองเปรมประชากร พอช. ได้ดำเนินการเช่นเดียวกับคลองลาดพร้าว และนำหลักการของโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ ที่ พอช.ใช้แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยประชาชนที่มีรายได้น้อยทั่วประเทศมาใช้ (เริ่มโครงการบ้านมั่นคงตั้งแต่ปี 2546) มีหลักการสำคัญ คือ “ชาวชุมชนที่มีความเดือดร้อนจะต้องรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา”
เช่น ร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินงาน จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุน ร่วมกันออกแบบบ้าน-ผังชุมชน จดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถาน เพื่อให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล สำหรับทำนิติกรรมสัญญาเช่าที่ดิน ทำเรื่องขอใช้สินเชื่อจาก พอช. และร่วมกันบริหารโครงการ ฯลฯ
ขณะที่ พอช. นอกจากจะสนับสนุนกระบวนการรวมกลุ่มของชุมชน ส่งสถาปนิกเข้าไปร่วมทำงานกับชุมชนแล้ว พอช.ยังสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ครัวเรือนละ 147,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้าน สร้างสาธารณูป โภคส่วนกลาง และสนับสนุนสินเชื่อสร้างบ้านไม่เกินครัวเรือนละ 360,000 บาท ผ่อนระยะยาว 20 ปี
เริ่มก่อสร้างบ้านหลังแรกที่ชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร ในเดือนมกราคม 2563 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธียกเสาเอก ส่วนใหญ่เป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 4 X 7 ตารางเมตร หลังจากนั้นการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองเปรมประชากรและการก่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับ
ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) การก่อสร้างบ้านมั่นคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการ 14 ชุมชน รวม 1,318 ครัวเรือน ก่อสร้างแล้วเสร็จและชาวบ้านเข้าอยู่อาศัยแล้ว 924 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการต่อไป ส่วนการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการช่วงที่ 4 ในพื้นที่เขตดอนเมือง โดย กทม.ก่อสร้างเขื่อนได้ความยาวรวม 3,200 เมตร จาก 10,700 เมตร มีความคืบหน้าของโครงการรวม 26%
บ้านใหม่ ชุมชนใหม่ริมคลองเปรมฯ สร้างเสร็จแล้ว 14 ชุมชน 924 ครัวเรือน มีสันเขื่อนเป็นทางเดินและขี่จักรยานเลียบคลองได้
สุุพิชญา สร้อยคำ ประธานสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่่นคงเปรมประชาสมบููรณ์ จำกัด บอกว่า ชุมชนเดิมมีสภาพเป็นสลัม ชาวบ้านสร้างบ้านรุกลงไปในคลอง บ้านเรือนทรุดโทรม เพราะอยู่กันมานานหลายสิบปี เมื่อรัฐบาลมีโครงการพัฒนาคลองเปรมฯ ชาวบ้านก็ไม่ได้คัดค้านเพราะอยากจะมีบ้านใหม่ มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงที่ พอช.สนับสนุน รวมทั้งหมด 123 ครอบครัว เป็นบ้านแถว 2 ชั้น ค่าก่อสร้างประมาณหลังละ 495,000 บาท ผ่อนชำระเดือนละ 2,900 บาท โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณรวมทั้งหมด 19 ล้านบาทเศษ และให้สินเชื่อสร้างบ้าน รวม 53 ล้านบาท
“คนจนๆ ไม่มีรายได้ประจำ ถ้าเราจะไปกู้ธนาคารเพื่อจะสร้างบ้าน คงไม่มีธนาคารที่ไหนจะให้กู้แน่ๆ ต้องขอขอบคุณ พอช.และหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยให้ชาวชุมชนคลองเปรมฯ มีที่อยู่อาศัยที่ถูกกฎหมาย มีบ้านใหม่ที่สวยงาม มั่นคง ไม่ต้องกลัวถูกไล่รื้ออีกต่อไป” แกนนำบ้านมั่นคงบอก
ไม่นานหลังจากนี้ คลองเปรมประชากรที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้ขุดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2413 ล่วงมาถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 150 ปี ผ่านแผ่นดินมาแล้ว 6 รัชสมัย และเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ขณะนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ลำคลองกลับคืนความสมบูรณ์ ใสสะอาด ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถเชื่อมโยงการเดินทาง ทั้งทางรถยนต์ รถรางไฟฟ้า ทางเรือ และจักรยาน เพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวชุมชนได้
สมดังพระราชปณิธานของพระองค์ที่ว่า “จะให้ราษฎรได้ความเย็นใจ ราษฎรชายหญิง ทั้งคฤหัฐ บรรพชิต ลูกค้าวานิชและต่างภาษา ค้าขายขึ้นล่องคลองนี้โดยสะดวกทุกท่าน”
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์