กลุ่มจังหวัดกรุงเทพฯและปริมณฑล เสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพคนในขบวนองค์กรชุมชนตามแผนงานที่ 1 มาด้วยใจห่อข้าวมาแบ่งปันกัน สร้างอุดมการณ์เดียวกันเพื่อการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง ผ่านการจัดเวทีอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำ ร่วมพัฒนาตนให้มีคุณภาพ สร้างพลังการเปลี่ยนแปลง ผ่าน หลักสูตร “ฟัง พูด คิด เขียน” วิทยากรโดยผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดนครปฐม
นครปฐม / วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องประชุมศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุอบต.คลองใหม่ อ.สามพราน จ.นครปฐม ขบวนองค์กรชุมชนกลุ่มจังหวัดกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จัดเวทีอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำ ร่วมพัฒนาตนให้มีคุณภาพ สร้างพลังการเปลี่ยนแปลง ผ่านหลักสูตร “ฟัง พูด คิด เขียน” โดยมีผู้เข้าร่วมจากคณะทำงานผู้นำขบวนกลุ่มจังหวัดฯ 5 จังหวัด (กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี สมุทรปราการ นนทบุรี และนครปฐม) และเจ้าหน้าที่พอช. สำนักงานภาคกรุงเทพฯ ปริมณฑลและตะวันออก เข้าร่วมจำนวน 25 คน ได้รับเกียรติวิทยากรโดย นายปรัถตกร จันทร์ผา ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดนครปฐม
กลุ่มจังหวัดกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล (พ.ศ.2564 – 2568) มีวิสัยทัศน์ “วิถีไทสร้างสรรค์ พื้นที่เป็นตัวตั้ง องค์กรชุมชนเป็นแกนหลัก พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน” กลยุทธ์หลัก : “ส่งเสริมคุณภาพชีวิต สร้างเศรษฐกิจและทุน สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดยมีแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 3 แผนพัฒนาหลัก 3 แผนงาน 1.การเสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพคนในขบวนองค์กรชุมชน 2.ส่งเสริมเพื่อการพัฒนาด้านความมั่นคงทางอาหาร และ 3.ส่งเสริมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตทุกมิติ แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 3 แผนพัฒนาหลัก 3 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อยู่ใน 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ที่ 4) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และยุทธศาสตร์ที่ 65) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อกับสิ่งแวดล้อม จากบทเรียนการทำงานที่ผ่านมาของกลุ่มจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล (กรุงเทพมหานคร จ.นครปฐม จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี และ จ.สมุทรปราการ) กับงานพัฒนาคุณภาพชีวิต เสริมสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ชุมชนเป็นแกนหลัก สู่การทำงานที่ผลิดอกออกผล จะพบว่าผลสำเร็จของการดำเนินงานที่เกิดขึ้น ได้แก่ กองทุนสวัสดิการชุมชนกว่า 278 พื้นที่ (ร้อยละ 86.06 ของ อปท.) สภาองค์กรชุมชนกว่า 297 ตำบล (ร้อยละ 91.95 ของ อปท.) และการจัดการที่ดินแนวใหม่ หรือการสร้าง ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ที่เข้าถึงผู้เดือดร้อน คนยากจนได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ซึ่งกระบวนการขับเคลื่อนเสริมสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง ได้ค้นพบแนวคิดอุดมการณ์การพัฒนาจากแกนนำที่มาจากประชาชนในพื้นที่จำนวนหนึ่ง ที่ควรนำไปสู่การรับรู้และการมีส่วนร่วมของพื้นที่ ซึ่งการจะขยายฐานแนวคิดอุดมการณ์การพัฒนา และมีแกนนำที่มาจากภาคประชาชนเพิ่มมากขึ้น พร้อมที่จะมีส่วนร่วมและทำงานอย่างจริงจัง โดยจากการประมวลเนื้อหาการทำงานร่วมกันนั้น จึงนำมาสู่ประเด็นการพัฒนาคนในขบวนองค์กรชุมชนกลุ่มจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่จะต้องสร้างคนที่มีหลักคิดอุดมการณ์ พร้อมที่จะเป็น “นักเปลี่ยนแปลงทางสังคม”
ในปี 2566 คณะทำงานกลุ่มจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงได้เสนอให้เกิดคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาคนในขบวนองค์กรชุมชนกลุ่มจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเป็นแผนงานเชิงยุทธศาสตร์ เน้นการสร้างแกนนำในระดับกลุ่มจังหวัด ครอบคลุม 5 จังหวัด จำนวน 25 คน โดยมาจากพื้นที่จังหวัดละ 5 คน เพื่อเป็นหัวขบวนในการนำไปสู่การขยายผลยังพื้นที่ระดับจังหวัด และตำบล / เขต ต่อไป แนวทางการปฏิบัติที่จะไม่ใช่ “การอบรม” เหมือนที่ผ่าน โดยการขับเคลื่อนตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปทางคณะทำงานมุ่งหวังว่าการจัดกิจกรรมในแต่ละครั้งจะต้องเป็นการมาเรียนรู้ร่วมกัน การใส่ใจซึ่งกันและกัน การแบ่งปันความรู้ให้แก่กันและกัน และเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน โดยเป็นการเรียนรู้ร่วมกันตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปมีวัตถุประสงค์ ดังนี้1.เพื่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในขบวนองค์กรชุมชนเกี่ยวกับหลักคิด สถานการณ์การพัฒนา เพื่อสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานในระดับพื้นที่ตำบล / เขต จังหวัด กลุ่มจังหวัด 2.เพื่อให้เกิดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานการณ์การขับเคลื่อนงานในระดับกลุ่มจังหวัด ที่มาจากหลากหลายภาคส่วน เช่น เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน ประชาสังคม นักวิชาการ เพื่อนำมาวิเคราะห์สู่การพัฒนาชุมท้องถิ่น และการสานความร่วมมือการทำงานด้านการพัฒนา เพื่อให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลงระหว่างขบวนองค์กรชุมชน ประชาสังคม และภาควิชาการ 3.เพื่อเกิดกระบวนการจัดการทางสังคม เชื่อมโยงการขับเคลื่อนเชิงภูมินิเวศน์ หรือนโยบายที่กระทบในระดับกลุ่มจังหวัด..ร่วมพัฒนาตนให้มีคุณภาพ สร้างพลังการเปลี่ยนแปลง ผ่านหลักสูตร “ฟัง คิด อ่าน เขียน”… เวทีในวันนี้เป็นเวทีแรกในการจัดกิจกรรมในการสร้างการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในขบวนองค์กรชุมชนเกี่ยวกับหลักคิด สถานการณ์การพัฒนา เพื่อสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานในระดับพื้นที่ผ่านหลักสูตร “ฟัง คิด อ่าน เขียน” โดยใช้ทักษะที่มีอยู่ ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ได้ยกตัวอย่าง “เพลงวังแม่ลูกอ่อน” แต่งทำนองและเนื้อร้องโดย พร ภิรมย์ ผ่านการฟังก่อน 1 รอบ และเขียนจากเนื้องร้องที่ได้รับฟังในความคิดของตนและแบ่งกลุ่มย่อยร่วมกัน สื่อสารสิ่งที่ตนเองรับรู้ให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน และสามารถสะท้อนเรื่องราวได้ สู่การจัดวิธีการคิดการเขียนโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งที่สะท้อนในบทเพลงจากบทเพลง “แม่วังลูกอ่อน”สะท้อนวิธีการฟังให้ได้ความ เขียน ถ่ายทอดและสื่อสารเรื่องราวได้เสมือนกับการทำงานในขบวนองค์กรชุมชน หัวใจสำคัญต้องมีมีสติ พร้อมที่จะเก็บข้อมูล และตั้งใจที่นำกลับมา
นางปิยวดี ชื่นชูศักดิ์ ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดนนทบุรี หนึ่งในผู้เข้าร่วมอบรม ได้กล่าวว่า….. “เป็นเวทีที่ดีมาก การสอนของวิทยากรหรืออาจารย์อ๋อย เป็นวิธีการสอนรูปแบบใหม่ผ่านการใช้การคิด ชวนพูดชวนคุยชวนทำ จากการที่มีการร้องเพลงให้ฟังและให้จับใจเนื้อความในเพลงนี้มีอะไรบ้างแล้วมาลำดับความเขียน มาสร้างเหตุผลและการจำลงเวทีในการจัดทำแผนให้เห็นภาพชัดเจนมายิ่งขึ้น ” นายรพีพงษ์ ยงค์ประดิษฐ์ ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดกรุงเทพมหานครกล่าวว่าย้ำอีกว่า “เวทีในวันนี้มีความสำคัญในการเรียนรู้ที่ครบถ้วน ตามหลักการ สุจุปุริ หัวใจของนักปราชญ์ ทั้งประโยชน์ของการฟัง การคิด การถาม และการเขียน ผ่านวิธีคิดที่มีหลักคิด โดยมีข้อเสนอว่า ควรมีการ 1.ทำเนียบผู้อบรมรุ่นที่ 1 และดำเนินการให้เกิดความต่อเนื่องในการขยายผลในระดับกลุ่มจังหวัดและจังหวัด ซึ่งเวทีในวันนี้มองเห็นถึงการฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีตามพรบสภาองค์กรชุมชน มาตรา21 (1) ในการนำบทกลอน มาใช้ในการละลายพฤติกรรม เป็นต้น”
ไม่เพียงเท่านั้นเวทีในวันนี้ วิทยากรได้ให้มีการจำลองการจัดทำแผนพัฒนาชุมชนแต่ละหมู่ จัดเป็นเวทีประชาคมเพื่อการจัดทำแผนพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมผ่านการส่งเสริมพลังพลเมือง ประชาธิบไตยจากฐานรากในการกระจายอำนาจให้ชุมชน โดยเน้นย้ำว่า การจัดทำแผนพัฒนาชุมชนต้องใช้ทุนที่มีอยู่ในชุมชน ให้เกิดประโยชน์ให้เกิดประเด็นการพัฒนาสู่แผนงาน และสร้างวิสัยทัศน์โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในชุมชน คาดการณ์ให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนสร้างการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาชุมชนหลังจากการอบรมเวทีในวันนี้ มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมได้นำความรู้ เทคนิค วิธีคิดและข้อคิดที่ได้ นำไปปรับใช้กับการทำงานและขยายผลการพัฒนาตน พัฒนาคนในจังหวัดและพื้นที่ต่อไป
author
