พอช./ 8 หน่วยงานภาคี พอช.-สสส.–กรมป่าไม้-กรมทรัพยากรทางทะเลฯ- RECOFTC Thailand-มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน-มูลนิธิชุมชนไท-มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือจัดการป่าชุมชน-ฝายมีชีวิต ระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี เป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ชุมชนมีอาชีพ-มีรายได้-ลดโลกร้อน นำร่องขับเคลื่อนป่าชุมชนทั่วประเทศปีแรก 15 แห่ง ขณะที่คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการฯ คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนทางสังคมจำนวน 21 ล้านบาทเศษ
วันนี้ 7 กรกฎาคม 2566 ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีพิธีบันทึกความร่วมมือการสนับสนุนและขับเคลื่อนการบริหารจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่าง กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า – ประเทศไทย (RECOFTC – Thailand)
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน มูลนิธิชุมชนไท และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
โดยมีผู้แทน 8 หน่วยงานดังกล่าวร่วมลงนาม มี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ เป็นประธานสักขีพยานการลงนาม โดยมีผู้แทนหน่วยงานต่างๆ และผู้แทนชุมชนที่จะขับเคลื่อนโครงการป่าชุมชนนำร่อง 15 แห่งทั่วประเทศร่วมในพิธี รวม 80 คน
นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ ‘พอช.’ กล่าวมีใจความสำคัญว่า การที่ชุมชนจะเข้มแข็งได้นั้น คนในชุมชนจะต้องมีกระบวนการรวมกลุ่มการทำงานร่วมกัน คนในชุมชนจะต้องมีอาชีพมีรายได้ที่ดี เพราะฉะนั้นมิตินี้ ป่าชุมชนและฝายมีชีวิตก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิต อาชีพ และรายได้ของพี่น้องประชาชน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมลงนามในวันนี้ร่วมสนับสนุน และขับเคลื่อนไปด้วยกัน
“ไปคนเดียวอาจจะเดินไปได้ แต่ว่าไปได้ไม่ไกล ถ้าเราจะไปได้ไกล เราต้องเดินหลายคน ช่วยกันประคับ ประคอง ช่วยกันเป็นลมใต้ปีก เติมเต็มข้อจำกัดต่างๆ ด้วยกัน เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการที่เราจะมาร่วมมือกันระหว่าง 8 หน่วยงาน ในการขยับขับเคลื่อนการทำพื้นที่ป่าชุมชนและฝายมีชีวิต”
ผอ.พอช.กล่าวและว่า ในปีนี้จะมีพื้นที่นำร่อง 15 จังหวัด 15 พื้นที่ หากพื้นที่ดังกล่าวเดินไปได้แล้วสำเร็จ ก็จะเป็นพื้นที่ที่เป็นองค์ความรู้ ในการขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ จังหวัดอื่นๆ ต่อไป
นายเดโช ไชยทัพ ประธานคณะทำงานสนับสนุนการขับเคลื่อนป่าชุมชนและฝายมีชีวิต สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวว่า คณะทำงานชุดนี้มีแผนงานหลักที่จะดำเนินการ 3-4 เรื่อง เช่น 1.การสร้างความเข้าใจกับชุมชน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของกฎหมาย หรือ ‘พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562’ โดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลที่ พอช.สนับสนุนการจัดตั้งทั่วประเทศเป็นพื้นที่ดำเนินการ โดยเราจะสร้าง ‘ครู ก’ ขึ้นมาจากสภาองค์กรชุมชนฯ
2.สร้างพื้นที่ต้นแบบขึ้นมา 15 พื้นที่ เพื่อเป็นบทเรียนในการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน และสร้างการขยายผลในประเด็นต่างๆ ในบริบททั้งจังหวัด 3.เครือข่ายป่าชุมชนในแต่ละจังหวัดซึ่งจัดตั้งไปแล้ว 68 จังหวัดก็ยังไม่มีงบประมาณจัดสรรที่ชัดเจนมาสนับสนุน เราจึงประสานความร่วมมือไปยัง สสส. และ สสส.ได้สนับสนุนงบประมาณมาดำเนินการ
“วันนี้เป็นวันสำคัญเพราะเป็นวันเริ่มต้นของการสานพลัง เพราะกฎหมายป่าชุมชนเจตนารมณ์เป็นกฎหมายของสังคม สังคมจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ จะต้องมาร่วมเกื้อกูล สนับสนุนขีดความสามารถของชุมชน องค์กรประชาสังคมที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้จะต้องมาเป็นแกนหลัก ภาคีธุรกิจจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม เอ็นจีโอต่างๆ เข้ามาร่วมผนึกกำลังสนับสนุนการจัดการป่าชุมชนให้ยั่งยืน” นายเดโชกล่าว
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวมีใจความสรุปว่า เมื่อก่อน
ชาวบ้านเข้าไปในป่าเก็บของแล้วจะติดคุก ไม่ต้องตัดต้นไม้ แค่เก็บมาก็ติดคุก แต่เมื่อมี พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 ตอนนี้สามารถตัดต้นไม้ได้ ใช้ได้ในชุมชน ขณะที่กรมป่าไม้ก็ตั้งใจให้เกิดโครงการนี้เพื่อให้เกิดป่าชุมชนทั่วประเทศ 20,000 แห่ง พื้นที่ 10 ล้านไร่ เป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะป่าชุมชนบางแห่งมีเนื้อที่นับร้อยไร่ บางแห่งนับพันไร่ ถ้าประชาชนร่วมกันดูแลก็จะช่วยกันฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมให้มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นซุปเปอร์มาเก็ต สามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้ ถ้าหากทำอย่างนี้ได้ทั่วประเทศพี่น้องประชาชนก็จะมีความสุข
นอกจากนี้ พอช. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมลงนามในวันนี้จะทำเรื่องฝายมีชีวิต โดยใช้เครื่องมือง่ายๆ เช่น ไม้ไผ่ กระสอบทราย พอทำแล้วน้ำจะซึมลงใต้ดิน ทำให้ผืนดินมีความชุ่มชื้น ต้นไม้ ผลไม้ก็จะออกลูกตลอดทั้งปี รวมทั้งจะทำเรื่องป่าชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน เป็นป่าชายเลนชุมชน และมีโครงการต่อไป คือ ทำธนาคารปูม้า กุ้ง หอย ปู ปลา นำมาเพาะพันธุ์แล้วปล่อยลงไปในลำคลอง ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหาร แหล่งท่องเที่ยว ทำให้พี่น้องมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า World Economic Forum บอกว่า 1 ใน 3 ของความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เรื่องสิ่งแวดล้อมหนักที่สุด ข้อมูลเมื่อปีที่ผ่านมา เราเจอปัญหามลพิษทางอากาศ เจอปัญหา PM 2.5 ปัญหาฝนน้อยและหนักมาก ปัญหาเรื่องสุขภาพ ปัญหาที่เกี่ยวกับมลพิษ เราจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว เราต้องช่วยกัน
สสส. เข้าสู่ปีที่ 21 เราคลุกวงในมากขึ้นในการที่จะแก้ปัญหาต้นทาง ด้วยปรัชญา ‘สร้างนำซ่อม’ เพื่อที่จะทำให้เรามีภูมิต้านทานทางสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย เรามองถึงการสร้างศักยภาพชุมชน การสร้างพื้นที่ป่าที่เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อจะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง โดยการประสานกับภาคนโยบาย ภาควิชาการ ภาคสื่อสาร และขับเคลื่อนงานไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน
นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวมีใจความสำคัญว่า กรมป่าไม้รู้สึกยินดีและภูมิใจที่พี่น้องประชาชน เครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ องค์กรเอกชน ภาคสังคมต่างๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมช่วยกรมป่าไม้ในการดำเนินการดูแลรักษาป่า ที่ผ่านมามีกิจกรรมปลูกป่า ปลูกเสร็จแล้วกลับไปไม่มีใครดูแล ป่าไม่มีทางรอด ป่าจะรอดได้ต้องมีพี่น้องชุมชนในพื้นที่นั้นๆ เข้ามาดูแลรักษาป่า ขณะเดียวกันพี่น้องที่ดูแลป่าก็จะต้องได้รับประโยชน์จากการดูแลป่า เช่น เรื่องการท่องเที่ยว การนำผลิตผลจากป่าไปใช้อย่างถูกกฎหมาย และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
“ปัจจุบันประเทศไทยมีป่าชุมชน 12,000 แปลงทั่วประเทศ มีหมู่บ้าน 13,000 หมู่บ้านที่เข้ามาร่วมกับป่าชุมชน ซึ่งกรมป่าไม้มีเป้าหมายจะเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนเป็น 15,000 แปลง เนื้อที่ 10 ล้านไร่ภายในปี 2570 สิ่งที่จะทำให้ไปสู่ความสำเร็จได้ต้องเกิดจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” รองอธิบดีกรมป่าไม้กล่าว
เป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ชุมชนมีอาชีพ-มีรายได้
การจัดทำบันทึกข้อตกลงนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความร่วมมือของทุกฝ่าย ชึ่งมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันในการสนับสนุนการบริหารจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตในพื้นที่ป่าชุมชน ตามกฏหมายว่าด้วยป่าชุมชน รวมถึงสร้างความตระหนักให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของกลไกภาคีที่เกี่ยวข้องในการจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตให้เกิดความยั่งยืน เพื่อเสริมความเข้มแข็งชุมชนและเสริมรายได้ครัวเรือน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนท้องถิ่น
ส่วนวัตถุประสงค์ของการบันทึกความร่วมมือ ครั้งนี้ คือ 1.เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจโดยการพัฒนาศักยภาพขององค์กรชุมชน รวมถึงหน่วยงาน ภาคีที่เกี่ยวข้องในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู บริหารจัดการ บำรุงรักษา ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
2.เพื่อสนับสนุนกระบวนการจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมให้กับเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด เครือข่ายฝายมีชีวิต เครือข่ายองค์กรชุมชน เพื่อเตรียมความพร้อมของชุมชนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานในพื้นที่ ในการบริหารจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตในพื้นที่นำร่องตามที่ทุกฝ่ายกำหนดร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่ป่า
และ 3.เพื่อประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคี ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เข้าร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ผสาน 8 พลังภาคีหนุนป่าชุมชน-ฝายมีชีวิต
ทั้งนี้ 8 หน่วยงานภาคีที่ร่วมลงนามจะมีบทบาทและหน้าที่ต่างๆ กังนี้ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 1.ให้คำแนะนำแนวทางการดำเนินงาน และวิธีการติดตามประเมินผลโครงการที่สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและป่าอย่างยั่งยืน
2.สนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องและประสานงานกับหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามความเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
พอช. สสส. RECOFTC – Thailand มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน มูลนิธิชุมชนไท และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร จะร่วมกัน 1.เสริมความเข้มแข็งองค์กรชุมชน เครือข่ายป่าชุมชน เครือข่ายฝายมีชีวิต ในการดำเนินการขับเคลื่อนป่าชุมชนและฝายมีชีวิตให้เกิดขึ้นในพื้นที่เป้าหมาย
2.เสริมศักยภาพเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด คณะกรรมการป่าชุมชนจังหวัดและกรรมการจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิต ให้สามารถจัดทำข้อมูล แผนที่ และแผนการบริหารจัดการป่าชุมชน ในพื้นที่อย่างยั่งยืน
3.ประสานแหล่งทุนภาคีหุ้นส่วนการพัฒนา จัดหางบประมาณสำหรับดำเนินงานและสนับสนุนชุมชน เครือข่าย ร่วมและเอื้ออำนวยในการบริหารจัดการงบประมาณ ตามแผนโครงการที่ภาคีหุ้นส่วนการพัฒนา คัดเลือกและดำเนินการตามความจำเป็น
ทั้งนี้ความร่วมมือตามบันทึกการลงนามในครั้งนี้มีกำหนดระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันลงนาม และมีพื้นที่นำร่องการขับเคลื่อนโครงการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตจำนวน 15 แห่งทั่วประเทศ เช่น ป่าชุมชนตำบลท่ากุ่ม จังหวัดตราด มีกิจกรรมฟื้นฟู อนุรักษ์ ปลูกป่า และทำฝายชะลอน้ำในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านเขาพลูร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดแหล่งอาหารจากป่าให้กับชุมชน เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักหวาน สมุนไพร ฯลฯ มีแหล่งต้นน้ำ ประปาภูเขา ลงไปยังเรือกสวนไร่นา และน้ำสำหรับสาธารณูปโภคของชุมชน
ป่าชุมชนบ้านถ้ำเสือ หมู่ 4 ต.แก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกไผ่หวานและผักหวานเพื่อกินเองและสร้างอาชีพในโครงการหมู่บ้านอนุรักษ์พิทักษ์ป่า และตั้งกลุ่มโฮมสเตย์บ้านถ้ำเสือเพื่อรองรับท่องเที่ยวแนว CSR outing ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวแบบทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยการปลูกป่า ทำฝาย ทำแนวกันไฟเพื่อฟื้นฟูป่า เป็นต้น
ป่าชุมชน สร้างผลตอบแทนทางสังคม 21 ล้านบาท
นายเดโช ไชยทัพ ประธานคณะทำงานสนับสนุนการขับเคลื่อนป่าชุมชนและฝายมีชีวิต สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวว่า การขับเคลื่อนโครงการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตจะมีการดำเนินกิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม คือ 1.การอนุรักษ์และการแบ่งประเภทการใช้ประโยชน์ของป่าชุมชนและฝายมีชีวิต 2.การบริหารจัดการน้ำของชุมชน
3.การพัฒนาศักยภาพองค์กรชุมชนและเครือข่าย และ 4.การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนและฝายมีชีวิตบนฐานการบริหารการจัดทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การเชื่อมโยงเศรษฐกิจสีเขียวหรือ BCG ฯลฯ ซึ่งการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะใช้งบประมาณดำเนินการรวม 3,498,000 บาท
“หากมีการลงทุนในโครงการดังกล่าวจำนวน 3,498,000 บาท จะสามารถตีเป็นมูลค่าการตอบแทนทางสังคมได้จำนวน 21,361,079 บาทเศษ ในการขับเคลื่อนปีที่ 1 และต่อยอดการดำเนินการของชุมชน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่ออีกอย่างน้อย 5 ปี
นอกจากนี้จะสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น มีส่วนร่วมในการบริหารป่าชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้มีความอุดมสมบูรณ์ และพัฒนาศักยภาพของชุมชน และเป็นส่วนหนุนเสริมให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกลับคืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน” ประธานคณะทำงานฯ กล่าวถึงผลตอบแทนและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
เส้นทางสู่การขับเคลื่อน…‘ป่าชุมชน’ ขจัดความจน
‘ป่าชุมชนและฝายมีชีวิต’ เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ พอช.และหน่วยงานภาคีเครือข่ายกำลังร่วมกันขับเคลื่อน โดยมีการตั้งคณะทำงานป่าชุมชนและฝายมีชีวิตขึ้นมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เรื้อรังมานาน…นั่นคือ ‘ความยากจน’ ที่เกิดจากการที่ประชาชนในชนบทไม่มีสิทธิ์ในการดูแลและพึ่งพาอาศัยและใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรป่า !!
ย้อนกลับไปในปี 2562 ‘พ.ร.บ.ป่าชุมชน’ ฉบับแรกประกาศใช้ โดยในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 และคณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 24 พฤษภาคมของทุกปีเป็น ‘วันป่าชุมชนแห่งชาติ’
เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ “โดยที่เป็นการสมควรส่งเสริมให้ชุมชน ได้ร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของป่าชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถจัดการป่าชุมชนและได้ประโยชน์จากป่าชุมชน อันจะส่งผลให้ชุมชนดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้มีความสมบูรณ์และยั่งยืน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
ป่าชุมชนตามความหมายของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ “ป่านอกเขตป่าอนุรักษ์หรือพื้นที่อื่นของรัฐ นอกเขตป่าอนุรักษ์ ที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเป็นป่าชุมชน โดยชุมชนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษา ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืนตามพระราชบัญญัตินี้”
ผลจากการมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะทำให้ประชาชนสามารถดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น สามารถเก็บหาของป่า ตัดไม้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือน เพื่อประโยชน์สาธารณะ (ยกเว้นไม้ทรงคุณค่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) ปลูกต้นไม้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ สร้างฝายกักเก็บหรือชะลอน้ำเพื่อสร้างความชุ่มชื้น เป็นแหล่งเก็บน้ำใต้ดิน ทำประปาภูเขา นำน้ำมาใช้ในการเกษตร จัดการท่องเที่ยว ฯลฯ
โดย 8 หน่วยงานที่ร่วมลงนามความร่วมมือในวันนี้ (7 กรกฎาคม) จะร่วมกันสนับสนุนให้ชุมชนต่างๆ ที่ทำเรื่องป่าชุมชนอยู่แล้วหรือกำลังจะจัดตั้งป่าชุมชนได้ศึกษาเรียนรู้เนื้อหาของ พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 และนำไปสู่การวางแผนบริหารจัดการป่าชุมชนเพื่อให้ชุมชนได้รับประโยชน์ ขณะเดียวกันก็จะเป็นการฟื้นฟูป่าไม้และแหล่งน้ำ ช่วยลดภาวะโลกร้อน คืนความสมดุลสู่ธรรมชาติต่อไป…!!
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์