ลพบุรี / พอช.จับมือหน่วยงานภาคีลงนามบันทึกความร่วมมือ ‘การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการพัฒนาคน โดยใช้การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กเป็นฐาน’ นำร่องศูนย์เด็กเล็ก 60 แห่งทั่วประเทศ โดยส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก หรือ ‘Active learning’ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ทำให้เด็กเติบโตเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพ มีภูมิคุ้มกันชีวิต เป็นผู้ใหญ่ที่จะช่วยพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
ลงนามบันทึกความร่วมมือหน่วยงานภาคี
วันนี้ ( 7 มิถุนายน) ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ ‘การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการพัฒนาคน โดยใช้การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กเป็นฐาน’ ระหว่างหน่วยงานภาคีที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เครือข่ายองค์กรชุมชน สถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) มูลนิธิยุวพัฒน์ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)
การลงนามความร่วมมือในวันนี้ มีผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้แทนศูนย์เด็กเล็กจำนวน 60 แห่งจากทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย นครสวรรค์ สระบุรี ขอนแก่น นครพนม จันทบุรี ตราด กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ฯลฯ รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานประมาณ 150 คน
สาระสำคัญของการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ คือ ทุกฝ่ายเห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กก่อนปฐมวัยอย่างบูรณาการ โดยเด็กเล็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ด้วยการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก หรือ Active learning ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในชุมชนได้อย่างชัดเจน และจะนำไปสู่การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนท้องถิ่นและความเข้มแข็งขององค์กรชุมชนในอนาคต
นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ฯ กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการว่า
บุตรหลานคือหัวใจของครอบครัว คือความหวังของประเทศ ซึ่งเราจะเห็นว่าเรื่องการพัฒนาคน และการพัฒนาเด็กให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณภาพ ถูกระบุไว้ในแผนการพัฒนายุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีจิตใจที่ดี มีจิตสาธารณะ เป็นกำลังสำคัญของสังคม โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. มุ่งหวังให้ชุมชนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งทั้งแผ่นดิน ผู้นำองค์รชุมชนมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยนำพาการพัฒนาประเทศ
“พอช.ทำงานพัฒนาผ่านประเด็นงานที่หลากหลาย ได้แก่ การพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น โครงการบ้านมั่นคง โครงการบ้านพอเพียง กองทุนสวัสดิการชุมชน สภาองค์กรชุมชน และในอีกหลายๆ ประเด็นการขับเคลื่อนที่จะส่งผลให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง
การพัฒนาเด็กในครั้งนี้ เด็กจะเป็นข้อต่อของการเชื่อมระหว่างครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น ผ่านการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ที่ได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิยุวพัฒน์ ICAP สพบ. เป็นการ ‘สร้างผู้นำตั้งแต่ฟันน้ำนม’ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการพัฒนาในปี 2566 นี้ โดย พอช. สนับสนุนการขับเคลื่อนงานภายใต้โครงการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการพัฒนาคน โดยใช้การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กเป็นฐาน จำนวน 60 ศูนย์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อให้เกิดต้นแบบและจะขยายผลการพัฒนาต่อไปให้ครอบคลุมมากที่สุด” ผอ.พอช.กล่าว
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ตนมีความสนใจเรื่องการพัฒนาเด็ก โดยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตนเคยเขียนบทความชิ้นหนึ่ง มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเตรียมคนไทยเพื่อไปสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างไร ? เพื่อเป็นการเตรียมคนสู่อนาคต และได้พบกับคุณหมอท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลรามาธิบดีที่ทำวิจัยเกี่ยวกับเด็กเล็กปฐมวัย ซึ่งค้นพบว่า เด็กไทยที่เกิดมามี IQ ไม่แตกต่างจากเด็กต่างประเทศ แต่เมื่อเติบโตขึ้นมาในช่วง 6 ขวบ เด็กไทยมี IQ เฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 ในขณะที่ทั่วโลกอยู่ในระดับ 100 – 110 และเมื่อเติบโตขึ้นในช่วงวัย 12 ปี เด็กไทยมี IQ ไม่แตกต่างจากเดิม ดังนั้นการเสริมสร้างพัฒนาการในช่วงวัย 0-6ขวบจึงเป็นช่วงวัยที่สำคัญ
ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ปัจจุบัน IQ ของเด็กไทยยังอยู่ในระดับเท่าเดิม อันเนื่องมาจากเด็กไทยจำนวนมากยังขาดการดูแลไม่ดี ทั้งความอบอุ่น และการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมถึงโภชนาการตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 6 ขวบ รวมทั้งข้อจำกัดและการเข้าถึงโอกาสของประชาชน ส่งผลให้พัฒนาการของเด็กไทยเข้าถึงระบบการศึกษาอย่างไม่ดีเท่าที่ควร และเมื่อตนได้เข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ จึงได้ทำเรื่องการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กขึ้นมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปูพื้นฐานสู่ระบบการศึกษาถัดไป
“โดย พอช.ร่วมกับโครงการ ICAP มูลนิธิยุวพัฒน์ และภาคเอกชนที่จะช่วยดูแลเด็กให้มีพัฒนาการที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ดูกระบวนการของศูนย์เด็กเล็ก การประเมินผลในแต่ละวัน ส่งผลให้เด็กกล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าถาม เห็นถึงคุณภาพของเด็กที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จนนำไปสู่การกระจายผลไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ในปี 2566 กว่า 60 ศูนย์ เพื่อสร้างต้นแบบในการดำเนินงาน สร้างเด็กทุกช่วงวัย” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
นพ.สันติ ลาภเบญจกุล (ผอ.รพ.ท่าวุ้ง) ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก กล่าวว่า ตนและทีมงานมีความตั้งใจที่จะให้เด็กทุกคนที่อยู่ในศูนย์ที่ผ่านการคัดเลือก เป็นเด็กที่มีความสุข โดยได้วางแผนการพัฒนาในระดับพื้นที่ จำนวน 60 ศูนย์ โดยจะมีทีมวิทยากรกระบวนการลงไปทำงานร่วมกับคุณครู บุคลากรภายในศูนย์
ส่วนเป้าหมายของการพัฒนาในระดับพื้นที่ คือ 1.การปรับและจัดสภาพแวดล้อมของศูนย์เด็กเล็กให้เหมาะสมกับเด็ก และ 2.การปรับหลักสูตร/กิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งนี้ต้องอาศัยการเปิดใจในการเรียนรู้ และความร่วมมือจากคุณครูและบุคลากรของศูนย์เด็ก รวมถึงกำลังใจจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการต่อยอดการทำงานและสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในอนาคตร่วมกัน
‘ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลบางคู้’ การจัดการเรียนแบบ High Scope
ทั้งนี้ก่อนการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ในช่วงเช้าวันนี้ ( 7 มิถุนายน) ผู้ร่วมงานได้เดินทางไปศึกษาดูงานการจัดการเรียนการสอนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลบางคู้ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ซึ่งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้ถือเป็นต้นแบบในการจัดการเรียนการสอนแบบ High Scope ได้รับการสนับสนุนจาก อบต.บางคู้ และโครงการ ICAP (Integrated Child-Centered Active Learning Project) ปัจจุบันมีเด็กจำนวน 75 คน แบ่งออกเป็น 3 ห้องเรียนตามวัย มีครู 7 คน
โครงการ ICAP เป็นโครงการพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย ดำเนินการโดยมูลนิธิยุวพัฒน์ เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ตามแนวทาง High Scope ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กปฐมวัยช่วงอายุ 2 – 6 ปี ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียน เริ่มดำเนินการที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลบางคู้ในปี 2564 หลังจากนั้นได้ขยายไปยังศูนย์เด็กเล็กหลายแห่งในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดอื่นๆ
ขณะเดียวกัน ในช่วงปลายปี 2563 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ร่วมกับเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน โครงการพัฒนาเด็กปฐมวัย (ICAP) และสถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) ได้จัดให้มีการหารือเพื่อส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการพัฒนาคนโดยใช้การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กเป็นฐาน จนนำมาสู่การลงนามความร่วมเพื่อพัฒนาศูนย์เด็กนำร่องจำนวน 60 แห่งทั่วประเทศในวันนี้
ทั้งนี้กระบวนการพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยของ ICAP จะเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้เด็กมีการใช้ประสาทสัมผัสครบทุกด้าน ผ่านการเล่นที่มีชีวิตชีวา เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุนให้เด็กลงมือกระทำด้วยตนเองตามหลักสูตรการพัฒนาเด็กปฐมวัย ปี 2560 ประกอบด้วย 6 กิจกรรมหลักของกระทรวงศึกษาธิการและผสมผสานสาระสำคัญ ดังนี้
1.ยึดหลักตามแนวคิด High Scope โดยมีวงล้อการเรียนรู้ 5 ส่วน คือ (1) การเรียนรู้แบบลงมือกระทำเพื่อเด็กมีประสบการณ์สำคัญ, มีความคิดริเริ่ม, มีพัฒนาการสมวัย, มีทักษะสมอง EF, มีทักษะศตวรรษที่21, มีความมั่นคงมั่นใจ, เชื่อมั่นในศักยภาพของตน
(2) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่-เด็ก จิตวิทยาและวินัยเชิงบวก ส่งเสริมการแก้ปัญหาด้วยตนเองผ่านกลยุทธ์ปฏิสัมพันธ์(3) การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ สื่อ พื้นที่ การจัดเก็บ (4) กิจวัตรประจำวัน เพื่อเด็กสามารถกำกับตนเอง วางแผน ลงมือทำ ทบทวนตนเอง ผ่านกิจกรรมกลุ่มใหญ่/กลุ่มย่อย ให้โอกาสครูและเด็กเรียนรู้ร่วมกัน (5) การประเมิน พัฒนาการเด็ก, แผนการจัดประสบการณ์, คณะทำงาน ผ่านการบันทึกประจำวัน
- ปลูกฝังพฤติกรรมสุขอนามัยพื้นฐานเพื่อการมีสุขภาพกายและจิตใจที่ดี 3.ให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือระหว่าง ครู – หมอ (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข) – พ่อแม่ (ผู้ปกครอง) เพื่อการพัฒนาเด็กร่วมกัน 4.สร้างระบบ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ครู” ร่วมปรึกษาในประเด็นต่างๆ เช่น การบริหารจัดการชั้นเรียน การจัดกระบวนการเรียนรู้ การประเมิน ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2562 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้นำร่องสนับสนุนการจัดการเรียนรู้แบบ High Scope ในระดับชั้นอนุบาลหรือเด็กปฐมวัยในโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด จำนวน 82 แห่งทั่วประเทศ
การจัดการเรียนรู้แบบ High Scope เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือทำผ่านมุมกิจกรรมที่หลากหลาย โดยใช้สื่อและการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเป็นตัวช่วย ปล่อยให้เด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่างๆ อย่างอิสระด้วยตัวเอง
High Scope มีพื้นฐานแนวคิดมาจาก ‘ทฤษฎีของเพียเจท์’ (นักจิตวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา) ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ ซึ่งเด็กสามารถสร้างความรู้ได้เองโดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์การเรียนรู้ ผ่านการกระทำของตน และการประเมินผลงานอย่างมีแบบแผน
โดย ดร.เดวิด ไวคาร์ท ประธานมูลนิธิวิจัยการศึกษา High Scope ได้ร่วมทำงานกับคณะวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ High Scope โดยใช้พื้นฐานจากโครงการเพอรี่พรีสคูลที่มีมาตั้งแต่ปี 2505 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้มีการศึกษาที่เหมาะสมและประสบความสําเร็จในชีวิต
ในการศึกษาวิจัย มูลนิธิได้ศึกษาเปรียบเทียบเด็ก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มที่ได้รับการสอนจากครูโดยตรง 2.กลุ่มเนอร์สเซอรี่แบบดั้งเดิม และ 3.กลุ่มที่ได้รับประสบการณ์โปรแกรม High Scope ซึ่งจากการศึกษาติดตามเด็กเหล่านี้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอายุ 29 ปี พบว่า…
“กลุ่มที่เรียนด้วยโปรแกรม High Scope นั้น มีปัญหาพฤติกรรมทางสังคมและอารมณ์ เช่น การถูกจับข้อหาลักขโมย ทำร้ายผู้อื่น บกพร่องทางอารมณ์ และล้มเหลวในชีวิตน้อยกว่าอีก 2 กลุ่มขั้นต้น จึงอนุมานได้ว่า โปรแกรมนี้มีผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กและการเติบโตในอนาคต”
6 องค์ประกอบการเรียนรู้แบบไฮสโคป
6 องค์ประกอบที่เป็นจุดเด่นและทำให้ไฮสโคปแตกต่างจากการจัดการเรียนรู้แบบอื่น ๆ และทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
1.เปิดโอกาสให้เด็กเป็นผู้ริเริ่ม ในการเลือกและตัดสินใจทำกิจกรรมและใช้เครื่องมือต่างๆ ตามความสนใจของตัวเอง จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากกว่าได้รับการบอกต่อความรู้จากผู้ใหญ่
2.จัดเตรียมสื่อและวัสดุอุปกรณ์ ในห้องเรียนให้มีความหลากหลาย และเหมาะสมกับอายุของเด็ก เพื่อให้เด็กมีโอกาสเลือกวัสดุอุปกรณ์อย่างอิสระ และจัดเก็บอย่างเหมาะสม เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานของเด็ก ซึ่งองค์ประกอบนี้จะช่วยให้เด็กรู้จักการเชื่อมโยงการกระทำต่าง ๆ การเรียนรู้ในเรื่องของความสัมพันธ์ และมีโอกาสในการแก้ปัญหามากขึ้น
3.ต้องมีพื้นที่เพียงพอ ต่อการทำกิจกรรมของเด็ก ทั้งการทำกิจกรรมคนเดียวและการทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม รวมถึงมีการจัดมุมประสบการณ์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่น ผ่านบทบาทสมมุติในมุมประสบการณ์ต่าง ๆ และควรจัดสรรเวลาในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละวันให้เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้จักการรักษาเวลา
4.เน้นให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับวัตถุและนำไปสู่การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ และความเกี่ยวข้องของวัตถุนั้นได้ด้วยตัวเอง
5.ภาษาจากเด็ก เป็นสิ่งที่เด็กสะท้อนประสบการณ์และความเข้าใจของเด็กออกมาเป็นคำพูด ซึ่งเด็กมักจะเล่าว่าตนเองกําลังทําอะไร หรือทําอะไรไปแล้วในแต่ละวัน เมื่อเด็กมีอิสระในการใช้ภาษาเพื่อสื่อความคิด เด็กจะรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
6.ครูคือผู้สนับสนุนและชี้แนะ ซึ่งครูในรูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคปนั้น จะต้องเป็นบุคคลที่คอยรับฟังและส่งเสริมให้เด็กคิดและทําสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง และเป็นผู้สร้างสรรค์ห้องเรียนเพื่อให้เด็กได้พบกับประสบการณ์สําคัญมากมายในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ
เรื่องและภาพ : สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์