ความสอดคล้องกลมกลืนกันของ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ และ ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’[1]
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
19 สิงหาคม 2559
สวัสดีครับทุกท่าน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมในงานสมัชชา กป. ครั้งนี้ หลายท่านในห้องนี้ก็เป็นครูผม โดยเฉพาะโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ และมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.)
หลังรัฐประหารปี 2559 ผมแบกคำถามที่หนักอึ้งคำถามหนึ่งเอาไว้ว่า “ทำไมเอ็นจีโอ และขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชน หรือในส่วนที่เกี่ยวข้องกัน เช่น องค์กรด้านสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน พวกจับตานโยบาย โครงการพัฒนา และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าข้างรัฐและทุนที่ลดทอน ปิดกั้น คุกคาม สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถึงอยู่ด้านตรงข้ามกับประชาธิปไตยด้วยการสนับสนุนรัฐประหาร ?”
ผมพยายามคิดทบทวนเพื่อตอบคำถามนี้เรื่อยมา แต่มันตอบคำถามนี้ไม่เสร็จสักที อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้สนใจเพียงแค่พยายามคิดเพื่อตอบคำถาม ถ้าลำพังเพียงแค่ตอบคำถามก็คงเสร็จไปนานแล้ว แต่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองและองค์กรด้วย เพราะตระหนักเสมอว่า ‘คิด’ กับ ‘ทำ’ ต้องไปด้วยกัน
ในการคิดทบทวนเพื่อหาคำตอบต่อคำถามนี้ เรื่องหนึ่งที่ผมค้นพบก็คือว่า คำที่ว่า ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ หรือคำอะไรอื่นทำนองนี้อีก เช่น ‘ประชาชนต้องกำหนดอนาคตตนเอง’ ‘การพัฒนาต้องมาจากประชาชน’ ฯลฯ มันช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับคำที่ว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ ที่คนอย่างพวกเราชอบพูดกันมากในการถกเถียงแลกเปลี่ยนและโต้แย้งกันถึงวิกฤติปัญหาประชาธิปไตยที่เอ็นจีโอ ปัญญาชนสาธารณะ ชนชั้นกลาง หรือใครก็ตามชอบใช้แก้ตัวหรือตัดบทการสนทนา เมื่อถูกกล่าวหาหรือพาดพิงว่ามีส่วนร่วมเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในการสนับสนุนรัฐประหารในสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา[2]
แต่มันก็เป็นภาพสะท้อนกลับด้วยเช่นเดียวกัน
ด้านหนึ่งก็คือมันเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก สะท้อนความเป็นจริงได้ดีมาก เพราะคงไม่มีประชาชนคนใดอยากเอาชีวิตตัวเองทั้งหมดไปผูกอยู่กับการเลือกตั้งหรอก ชีวิตการเมืองไม่ได้มีแค่การเลือกตั้งสักหน่อย เพราะถึงแม้ดูจะเป็นระบบการเมืองที่มีพัฒนาการไปในทางที่ดี คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ดีที่สุด แต่ก็ยังกดขี่ข่มเหงขูดรีดประชาชนไม่ต่างจากระบอบการเมืองอื่นอยู่ดี
อีกด้านหนึ่งก็คือ ถ้าบอกแบบนี้แล้วก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วยไปพร้อมกับคำถามว่า “นั่นสิ เราจะทำยังไงให้ประชาชนที่เราทำงานอยู่เกิดความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ต้องรอ ไม่พึ่งพิงองคาพยพ องค์กร หรือสถาบันการเมืองที่สนใจแต่การเลือกตั้งเท่านั้น ?” หรือ “จะทำยังไงถึงจะทำให้ประชาชนที่เราทำงานอยู่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งเท่านั้น ?”
พอถามคำถามนี้แล้วก็จะเกิดคำถามต่อมาว่า “เราทำอะไรกันไปแล้วบ้างที่ทำให้เห็นรูปธรรมที่แท้จริง ว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง ?”
เมื่อสำรวจดูก็พบว่าเราทำอะไรไปตั้งมากมายเพื่อตอบคำถามนี้ แต่มาตายน้ำตื้นเอาตรงประวัติศาสตร์ระยะใกล้ในช่วงสิบปีมานี้ต้องจารึกว่า ทั้งในระดับบุคคลและองค์กรที่มีส่วนผลักดันขับเคลื่อนบ้านเมืองและสังคมเพื่อตอบคำถามว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ เป็นพวกที่สนับสนุนรัฐประหาร
อาจจะมีผู้แย้งว่า “ทำไมเหรอ มันจะอะไรกันนักกันหนากับไอ้การแค่สนับสนุนรัฐประหาร ไม่ได้หมายความว่าอยู่ขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยสักหน่อย มันเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยอีกแง่มุมหนึ่งด้วยซ้ำ”
ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าความหมายของคำว่ารัฐประหาร ตลอดยุคสมัยของการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยนั้น มันได้รวมคำว่าอำนาจนิยม อนุรักษ์นิยม ชาตินิยมและกษัตริย์นิยมอยู่ในคำนี้ด้วย ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายไม่ดีเอาเสียเลยในสังคมไทย เพราะรัฐประหารทำให้มันแปดเปื้อน ต่อให้คุณบอกว่า “ฉันไม่ได้นิยมอะไรเหล่านั้นนะ” แต่เมื่อคุณสนับสนุนรัฐประหารไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม คุณก็จะกลายเป็นฝ่ายนิยมอะไรเหล่านั้นไปโดยปริยาย
มันจึงทำให้ความหมายของคำว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ ที่เคยมีความหมายหรือบริบทกว้างขวาง สะท้อนถึงความก้าวหน้าของขบวนประชาชนในทุก ๆ ด้าน กลับหดแคบลงเพียงแค่ว่า รัฐประหารคือความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของ ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’
หรือพูดอีกด้านหนึ่งก็คือ รัฐประหารคือคุณค่าที่แท้จริงของความเชื่อความเข้าใจของคนทำงานที่พยายามทำงานเพื่อ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ หมายถึงว่าต้องสนับสนุนรัฐประหารเท่านั้นถึงจะไปให้ถึงความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของ ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ หรือหมายถึงว่าต้องสนับสนุนรัฐประหารเท่านั้นถึงจะไปให้ถึงความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’
นอกเหนือจากนั้นเป็นสิ่งกลวงเปล่า เพราะที่ผ่านมาที่ทำ ๆ กันอยู่น่ะมันเห็นผลช้า หรือมองให้เลวร้ายกว่านั้นคือไม่เห็นผลอะไรเลย ก็เลยต้องวิ่งเข้าหาตัวเร่งปฏิกิริยา คือ ‘รัฐประหาร’ เพื่อจะทำให้เกิดสิ่งนี้ ตัวเร่งปฏิกิริยารัฐประหารมันคือคำเดียวกันที่ชอบพูดกันว่า ‘รัฐประหารคือหน้าต่างแห่งโอกาส’ นั่นแหละ
แต่สำหรับผมเห็นตรงข้าม ไม่ศรัทธาแนวทางที่วิ่งเข้าหาตัวเร่งปฏิกิริยา คือ รัฐประหาร
จริง ๆ แล้ว เราทำอะไรกันตั้งเยอะแยะที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าสู่สภาวะความย้อนแย้ง ไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเช่นนี้ หลักที่สำคัญมากที่เราทำกันมาก็คือ มันทำให้ขบวนประชาชนที่เราทำงานด้วยเข้าใจและพัฒนาคุณค่าและความหมายของคำว่าประชาธิปไตยมาโดยตลอด นั่นคือ หนึ่ง-ประชาธิปไตยในสภา หรือประชาธิปไตยที่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือประชาธิปไตยตัวแทน สอง-ประชาธิปไตยนอกสภา หรือประชาธิปไตยมวลชน หรือประชาธิปไตยทางตรง ที่มันจะต้องหาจุดสมดุลย์ระหว่างกันมาโดยตลอด
ในด้านเศรษฐกิจเราก็ต่อสู้กับเศรษฐกิจกระแสหลักที่สนใจแต่จีดีพี ด้วยการเสนอเศรษฐกิจสองระบบที่มีอีกด้านหนึ่งที่พึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งการพัฒนาสิทธิชุมชนให้กลายเป็นสิทธิสากลเท่าเทียมกับสิทธิมนุษยชน แต่ปัญหาคือพัฒนาการของเรามันสะดุดหยุดลง เพราะมีพวกขี้เกียจทำงานกับชุมชน มวลชน มักง่าย แต่ชอบอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชน เป็นพวกเอ็นจีโอขุนนาง[3]
ตรงนี้น่าสนใจ ผมแกะไม่ออก กำลังค่อย ๆ แกะว่าเหตุใดพัฒนาการเรื่องประชาธิปไตยในขบวนประชาชนที่ก้าวหน้าถึงสะดุดหยุดลง มันมีเหตุปัจจัยที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน อะไรอีกที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อย่างน้อยเท่าที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือ จริง ๆ แล้วเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากด้วยซ้ำที่พลัง ‘ประชาธิปไตยมวลชน’ มันมีศักยภาพมากที่จะควบคุมหรือสร้างสมดุลย์กับ ‘ประชาธิปไตยเลือกตั้ง’ เราพบเห็นรูปธรรมเหล่านี้ได้เยอะแยะเต็มไปหมดในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ควบคุมอำนาจและความฉ้อฉลของการเมืองท้องถิ่นที่ได้มาจากประชาธิปไตยเลือกตั้ง
จริง ๆ แล้วต้องใช้คำว่าชาวบ้านมีความก้าวหน้ากว่าเรามาก ส่วนเราเองที่เคยเป็นฝ่ายก้าวหน้ากลับล้าหลังคลั่งชาติ [4]
ความก้าวหน้าของชาวบ้านคือเขาจับตาสอดส่องและดุลย์อำนาจประชาธิปไตยด้วยการกระทำการเอง โดยเข้าไปอยู่หรือเข้าไปใช้พื้นที่ของ ‘ประชาธิปไตยเลือกตั้ง’ ด้วยตนเอง รวมทั้งสร้าง/ไม่ทิ้ง ‘ประชาธิปไตยมวลชน’ ทำให้มันเข้มแข็งต่อไปที่จะคานอำนาจ ‘ประชาธิปไตยเลือกตั้ง’ ให้ได้
หลักที่ชาวบ้านทำ มันแปลความหมายให้เห็นความงดงามและคุณค่าที่ทรงพลังมาก ๆ เลย ก็คือ เขาพยายามอยู่ตลอดเวลาที่แปรพลังจากสองมือสองเท้าของเขาให้เป็นเสียงที่มีคุณค่าให้ได้
เพราะฉะนั้น หลักการหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงมันสำคัญมากตรงนี้ เพราะมันแปรเสียงออกมาจากสองมือสองเท้าของประชาชน มันเป็นเสียงที่ออกมาจาก ‘ประชาธิปไตยมวลชน’ ที่อยู่นอกสภา เพื่อให้ไปทำหน้าที่พัฒนาประชาธิปไตยอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ในสภา มันเป็นหลักการที่โคตรสันติวิธีเลย มีวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะขับเคลื่อนสังคมด้วยสันติวิธีที่สุด นอกนั้นมีแต่เสียเลือดเนื้อ
ผมยังคิดว่าโดยส่วนลึกแล้ว นักกิจกรรมทางสังคม ปัญญาชนสาธารณะที่ทำงานเพื่อ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ จริง ๆ แล้วก้าวหน้านะ แต่ยอมถอยความคิดและจุดยืนของตัวเอง ยอมเป็นพวกเดียวกันหรือขอเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการเมืองที่ล้าหลังคลั่งชาติ[5] เพื่อจะได้สนับสนุนรัฐประหารได้อย่างแนบสนิทใจก็เพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่าง แต่ผลลัพธ์มันรุนแรงมาก เพราะรัฐประหารมันได้ทำลายคุณค่าและความหมายประชาธิปไตยเสียหมดสิ้น แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือความตกต่ำสุดขีดของขบวนประชาชนที่ก่อร่างศรัทธาในเรื่องของการ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ คือเราทำลายประชาธิปไตยมวลชนที่เคยเป็นพลังคานอำนาจประชาธิปไตยเลือกตั้งเสียจนย่อยยับ
หากจะมีผู้โต้แย้งว่า “อะไรล่ะคือสิ่งบ่งชี้ที่ว่า มากล่าวหากันเลื่อนลอยได้ไง ?”
ก็กฎหมายห้ามชุมนุมนั่นไง ที่ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ในรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ต้องรวมเรื่องอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ แผนแม่บทป่าไม้ ฯลฯ ก็แย่พอแล้ว ถ้าชาวบ้านชุมนุมไม่ได้ก็ไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ ได้เลย หรือชุมนุมได้แต่ก็ไม่สามารถกดดันใด ๆ ได้เลย ไปกันเป็นร้อยคนแต่ใช้เครื่องเสียงควบคุมมวลชนไม่ได้ แค่นี้ก็จบแล้ว แทบทุกกิจกรรม ทุกการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของประชาชนสามารถถูกตีความว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายห้ามชุมนุมได้หมด
อาจจะมีผู้โต้แย้งว่ารัฐบาลประชาธิปไตยก็ชอบกฎหมายพวกนี้นะ ใช่! แต่รัฐบาลประชาธิปไตยไม่สามารถออกกฎหมายบังคับกดหัวคนได้รุนแรงเช่นนี้หรอก มันสามารถมีภาวะผ่อนปรนหรือต่อรองได้มากกว่านี้
เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ผมขอสรุปดังนี้
ข้อหนึ่ง ผมคิดว่าถ้อยคำ การกระทำ และความคิดที่ว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ จะมีความหมายและคุณค่าก็ต่อเมื่อในขณะที่บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่ได้มาจากการเลือกตั้งนั่นแหละ เราถึงจะมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำงานกับประชาชนเพื่อส่งเสริมคุณค่าและความหมายของวาทกรรมดังกล่าว เพื่อผลักดันให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง เป็นองค์กรหรือขบวนการที่สูงส่งและมีพลังมากเสียยิ่งกว่าองค์กรการเมืองที่เฝ้ารอแต่การเลือกตั้งเพื่อได้อำนาจรัฐมากดขี่ข่มเหงเรา
ผมอยากจะเตือนสติตัวเองและทุกท่านว่า ความคิดที่ไม่สอดคล้องกับการกระทำมันกัดกินเราทุกวันให้เสื่อมถอยและไร้ค่า[6]
มันคือความสามานย์[7]รูปแบบหนึ่งที่คิดว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ โดยการไปสนับสนุนรัฐประหาร แทนที่จะบอกว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ แล้วลงไปทำงานกับชาวบ้าน เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้าน จัดตั้งองค์กรชาวบ้านเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐและทุนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วรุกรานกดขี่และเอาเปรียบเรา
ทุกวันนี้คนที่บอกว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ และ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ เป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน ยังนั่งดูประชาชนถูกกดขี่ข่มเหงจากองค์กรหรือสถาบันรัฐประหารที่ทำให้ฝันคุณเป็นจริง ก็ฝันที่ว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ นี่แหละ เรายังนั่งงอมืองอเท้าอยู่ที่บ้านโดยไม่ลงไปทำงานกับชาวบ้านช่วยเหลือเขาเลย[8]
ข้อสอง อีกสิ่งหนึ่งที่คิดว่าเส้นทางของ กป.อพช. และเพื่อนตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ไม่มีหรือขาดหายไป ก็คือ ‘ความคิดทางการเมืองในงานที่ทำ’
หมายถึงว่า ‘การทำงานพัฒนาต้องพัฒนาไปพร้อมกับความคิดทางการเมือง’
ตลอด 30 ปี ของ กป.อพช. และเพื่อนไม่มีตรงนี้ มันจึงทำให้การคิดวิเคราะห์สังคมเป็นแบบ ‘หวังน้ำบ่อหน้า’ หรือเหมือนเห็นขอนไม้ลอยกลางทะเล เห็นอะไรก็คว้าหมดเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด
ข้อสาม ข้อนี้มันลอยมา อาจจะไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งที่พูดมาเลย แต่ก็ขอพูดไว้ก่อน กำลังพัฒนาความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ก็คือ เห็นหลายคนในเวทีนี้พูดถึงประชารัฐกันเยอะ ก็อยากจะบอกว่า เป้าหมายที่แท้จริงของประชารัฐคือการกวาดต้อนประชาชน เพื่อสนับสนุนและค้ำจุนระบอบเผด็จการทหารหรือรัฐประหารเท่านั้นแหละ นอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องหลอกลวง
และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ก็คือ ความบกพร่องหรือปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งก็คือนักกิจกรรมทางสังคม ปัญญาชนสาธารณะทั้งหลายมักแยกตัวเองและองค์กรตัวเองออกจากองค์กรหรือขบวนประชาชน แต่ชอบนั่งอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนนะ และชอบเก็บเกี่ยวดอกผลที่เกิดขึ้นจากขบวนประชาชนอีกด้วย แต่ไม่พยายามทำให้ตัวเองและองค์กรตัวเองเป็นเนื้อเดียวกันทั้งในแง่ร่วมทุกข์ร่วมสุข บริหารจัดการองค์กร และจัดตั้งความคิดกับองค์กรหรือขบวนประชาชน
มันลอยออกไปหรือแยกส่วนออกไปจากขบวนประชาชนที่เป็นแนวหน้าที่ถูกผลักให้ขึ้นไปเสี่ยงอยู่ข้างหน้าเสมอ แต่ตัวเองและองค์กรตัวเองลอยตัว[9]
ข้อสี่สุดท้าย เส้นทางของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม กว่าที่พลเมืองแต่ละกลุ่ม เพศ วัย เชื้อชาติ ฯลฯ จะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ต้องสูญเสียเลือดเนื้อมากมาย แต่ที่เมืองไทย ฝ่ายก้าวหน้าที่เสียสละอุทิศตนเพื่อสังคม ทำงานพัฒนาชนบทและชุมชนเพื่อต่อสู้กับความเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ข่มเหงคนยากคนจนคนเล็กคนน้อยในสังคม เพื่อนำเสียงของคนเหล่านั้นขึ้นมาให้สังคมข้างนอกได้ยิน ซึ่งเป็นขบวนการที่ประดิษฐ์หรือชูคำขวัญที่ว่า ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ กลับเข้ากันได้ดีหรือเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ออกมาพูดว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ ด้วยการสนับสนุนรัฐประหาร
เรายอมแม้กระทั่งสูญเสียเลือดเนื้อประชาชนเป็นร้อยคนเพื่อย้อนเวลากลับสู่อดีตอันไกลโพ้นด้วยคำถามพื้นฐานเมื่อหลายพันปีมาแล้วว่า “การออกเสียงมีความสำคัญต่อคุณยังไง ?”
ตรงนี้แหละที่น่าเป็นห่วง เพราะประวัติศาสตร์มันจะบันทึกไว้ว่าเรากลายเป็นตัวตลกในยุคสมัยของเรา
[1] ถอดความและเรียบเรียงเพิ่มเติมจากการพูดของเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หนึ่งในวิทยากรของเวทีประชุมสมัชชาคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ปี 2559 ในหัวข้อ ‘เหลียวหลัง แลหน้า ขบวนการองค์กรพัฒนาเอกชน’ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2559 ณ ห้องประชุมอิงบุรี พักพิงอิงทางบูติกโฮเทล งามวงศ์วานซอย 19 นนทบุรี
ทั้งนี้ การถอดความและเรียบเรียงเพิ่มเติมทำโดยผู้พูดเอง
[2] คำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำที่เขียนเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังเพื่ออธิบายให้เกิดความเข้าใจ เนื่องจากการพูดในเวทีประชุมสมัชชาฯเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ไม่ได้พูดในส่วนของคำที่ขีดเส้นใต้เอาไว้
[3] คำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำที่ปรากฎอยู่ในเอกสารบทพูดของเลิศศักดิ์ที่เตรียมไว้ประกอบการพูด แต่ในเวทีประชุมสมัชชาฯ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ไม่ได้พูดในส่วนของคำที่ขีดเส้นใต้เอาไว้
[4] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3
[5] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 และ 4
[6] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3, 4 และ 5
[7] คำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำที่ปรากฎอยู่ในเอกสารบทพูดของเลิศศักดิ์ที่เตรียมไว้ประกอบการพูด แต่ในเวทีประชุมสมัชชาฯเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ได้ใช้คำว่า ‘เสื่อมโทรม’ แทน ในงานเขียนชิ้นนี้ขอกลับไปใช้คำว่า ‘สามานย์’ ตามเอกสารบทพูดเดิมที่เตรียมไว้ประกอบการพูด
[8] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 – 6
[9] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 – 6 และ 8