เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์: อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ 2

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์: อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ 2

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ชี้ความเหมือนกันของระบบสัมปทานและระบบแบ่งปันผลผลิตในสาระสำคัญ และข้อเสนอให้แยกสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมออกจากกันเป็น 2 สิทธิ 2 ขั้นตอน ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันตามที่กฎหมายปิโตรเลียมบัญญัติไว้ 

20151203002150.jpg

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ 
1 มีนาคม 2558

หากมุ่งแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมและกฎหมายภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. มีบัญชาให้แล้วเสร็จภายในสามเดือน นับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เฉพาะเพียงแค่การเปลี่ยนระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตตามที่ขบวนการประชาชนหลากหลายกลุ่มก้อนกำลังเรียกร้องกันอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาด้านพลังงาน-ปิโตรเลียมได้ดีพอ เพราะความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่ในกฎหมายทั้งสองฉบับยังมีอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง

นอกจากข้อเสนอให้แก้ไขมาตรา 23 มาตรา 65 มาตรา 67 และมาตรา 68 เพื่อแยกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเปิดพื้นที่ให้เอกชนเข้ามาสำรวจ ผลิตและวางท่อขนส่งปิโตรเลียมระหว่างบนบกและในทะเลให้แตกต่างกัน และต้องคำนึงถึงการไม่ไปละเมิดกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองที่ดินของบุคคล และรวมทั้งที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเด็ดขาด เอาไว้ในบทความตอนแรก-อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่1-แล้ว ในบทความชิ้นนี้ก็จะเสนอให้แยกสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมออกจากกันเป็น 2 สิทธิ 2 ขั้นตอน ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันตามที่กฎหมายปิโตรเลียมบัญญัติไว้ 

ปิโตรเลียมในกฎหมายแร่

ช่วงเริ่มต้นของการผลักดันอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาของการใช้พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 โดยทำการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2509 ในช่วงปลายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรก เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อการออกอาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่และประทานบัตรทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่แตกต่างไปจากการขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่และประทานบัตรทำเหมืองแร่ประเภทอื่น 

แต่หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 หรือกฎหมายแร่ ในช่วงเริ่มต้นของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 แล้ว เนื้อหาสาระในกฎหมายแร่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเร่งรัดและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมให้เจริญเติบโตขึ้นได้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคขัดขวาง เนื่องจากเป็นแร่ที่มีมูลค่ามหาศาลและแหล่งปิโตรเลียมส่วนใหญ่อยู่ในทะเลมีการแพร่กระจายตัวในพื้นที่ขนาดใหญ่มาก จึงเห็นว่ากฎเกณฑ์การให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควรจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปจากการทำแร่ประเภทอื่น 

รัฐบาลในสมัยนั้นจึงวางแผนที่จะออกกฎหมายเกี่ยวกับปิโตรเลียมขึ้นมาใช้โดยเฉพาะ ดังที่ระบุไว้ในหมวด 13 บทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ว่าในระหว่างที่ยังมิได้ตรากฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมออกใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับเกี่ยวกับปิโตรเลียมไปพลางก่อนโดยอนุโลม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดพื้นที่ อายุ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนที่จะให้แก่รัฐในการออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและการออกประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมแตกต่างไปจากเนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้เป็นพิเศษได้

หลังจากใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 อยู่เพียง 4 ปี ก็ได้แยกอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซหรือปิโตรเลียมเป็นกฎหมายเฉพาะขึ้นมาต่างหาก คือ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 หรือกฎหมายปิโตรเลียมนั่นเอง

ซึ่งข้อจำกัดหรืออุปสรรคขัดขวางที่สำคัญที่สุดในตัวบทกฎหมายแร่ที่ยังไม่เพียงพอต่อการเร่งรัดและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในสมัยนั้นถูกระบุเอาไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 113 ของกฎหมายปิโตรเลียม โดยผู้เขียนได้ทำการขีดเส้นใต้ไว้ ดังนี้

“มาตรา113 ภายในหกเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้ถืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียม และผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่ออกให้ตามสัญญาปิโตรเลียมที่ทำไว้ก่อนวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 ดำเนินการขอสัมปทานให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้

รัฐมนตรีมีอำนาจให้สัมปทานแก่ผู้ขอสัมปทานตามวรรคหนึ่งโดยสัมปทานนั้นจะมีข้อความเกี่ยวกับสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาปิโตรเลียม ซึ่งได้กล่าวถึงในวรรคหนึ่ง และสัมปทานนั้นให้นับระยะเวลาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสัมปทานย้อนหลังไปจนถึงวันออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียม และให้อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมนั้นสิ้นอายุในวันที่รัฐมนตรีให้สัมปทาน

….”

ประเด็นตามที่ขีดเส้นใต้ก็คือ หลักของกฎหมายแร่หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 เปิดโอกาสให้มีการทำสัญญาในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกิจการปิโตรเลียมได้เช่นกัน แต่ต้องดำเนินการขอสัมปทานสำรวจแร่หรืออาชญาบัตรก่อน ต่อเมื่อพบแร่ที่มีศักยภาพในการลงทุนจึงดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่หรือประทานบัตรเป็นขั้นตอนต่อไป ไม่ใช่ทำสัญญาในลักษณะให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ในคราวเดียวกันเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งเป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เอาไว้ก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอาชญาบัตรให้สำรวจแร่และประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่แต่อย่างใด แต่สัญญาได้ครอบลงไปแล้วว่ารัฐจะรับประกัน หรือรับผิดชอบ หรืออำนวยความสะดวก หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนให้ถึงที่สุดว่าจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจ ผลิต และวางท่อขนส่งปิโตรเลียม 

แต่สำหรับกิจการปิโตรเลียมเห็นว่ากฎหมายแร่มีข้อจำกัด และเป็นอุปสรรคขัดขวาง หากต้องแยกสิทธิในสัมปทานสำรวจแร่ปิโตรเลียมหรืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ปิโตรเลียม กับสิทธิในสัมปทานผลิตแร่ปิโตรเลียมหรือประทานบัตรทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมออกจากกัน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 113 บทเฉพาะกาลของกฎหมายแร่ 

จึงสมควรต้องแยกกิจการปิโตรเลียมออกจากกฎหมายแร่ โดยมีกฎหมายเฉพาะขึ้นมา เพราะหากให้มีการทำสัญญาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมกันก็เกรงว่าการทำสัญญาลักษณะดังกล่าวเป็นการขยายอำนาจในการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจแร่ปิโตรเลียมและทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมของเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไปกว่าขอบเขตที่กฎหมายแร่ได้บัญญัติไว้ ซึ่งไปทำลายหลักขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายแร่กำหนดไว้

เนื่องจาก ‘สัมปทานสำรวจ’ หรืออาชญาบัตร และ ‘สัมปทานทำเหมือง’ หรือประทานบัตร ตามกฎหมายแร่มีลักษณะต่างกรรมต่างวาระ หรือมีลักษณะเป็น ‘ขั้นตอน’ อันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด หมายถึงว่าผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในกิจการเหมืองแร่จะต้องขอและได้สัมปทานสำรวจแร่ก่อน หลังจากที่สำรวจเสร็จและพบแร่มีศักยภาพในการลงทุนจึงดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ในลำดับขั้นตอนต่อมา

โดยที่กฎหมายปิโตรเลียมซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับการเร่งรัด ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมโดยเฉพาะเปิดโอกาสให้มีการทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแบบควบรวมเอาไว้ด้วยกันได้ เพราะต้องการได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนด้วยการให้รัฐรับประกัน หรือรับผิดชอบ หรืออำนวยความสะดวก หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนให้ถึงที่สุดว่าจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจ ผลิต และวางท่อขนส่งปิโตรเลียม อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัญหาให้ต้องพิจารณาต่อไปว่าการทำสัญญาสัมปทานลักษณะนี้มีจุดบกพร่องอย่างไรบ้าง

ความเหมือนกันของระบบสัมปทานและระบบแบ่งปันผลผลิตในสาระสำคัญ     

ถึงแม้กฎหมายปิโตรเลียมจะมีบทบัญญัติให้สามารถทำสัญญาสัมปทานในลักษณะให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันเพื่อจูงใจการลงทุน ซึ่งระบุเอาไว้ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 23, 29, 36, 37, 38, 39, 40, 31, 42 และ 45 ซึ่งดูเหมือนเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้ากว่ากฎหมายแร่ แต่แท้จริงแล้วการทำสัญญาสัมปทานในลักษณะดังกล่าวก็มีปัญหาที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบขึ้นต่อประชาชนในพื้นที่ขุดเจาะสำรวจ ผลิต วางท่อขนส่งปิโตรเลียม หรืออาจรวมถึงการมีโรงแยกก๊าซด้วย มากทีเดียว ดังนี้

1.สัมปทานให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตามกฎหมายปิโตรเลียมไม่เพียงให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเท่านั้น แต่ให้สิทธิครอบคลุมถึงกิจการปิโตรเลียมทั้งหมด ตั้งแต่การสำรวจ ผลิต เก็บรักษา ขนส่ง ขาย หรือจำหน่ายปิโตรเลียม โดยเฉพาะการวางท่อขนส่งปิโตรเลียมและก่อสร้างโรงแยกก๊าซหลังจากยื่นแผนการผลิตในรายละเอียดสำหรับพื้นที่การผลิตแล้วก็ได้รับการคุ้มครองตามข้อกำหนดในสัมปทาน 

ดังมาตรา 54, 55 และ 68 [1] ที่ข้อกำหนดในสัมปทานจะต้องคุ้มครองการเก็บรักษาและขนส่งปิโตรเลียม ซึ่งหมายความถึงการก่อสร้างวางแนวท่อขนส่ง และรวมถึงโรงแยกก๊าซด้วยที่สามารถบังคับใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินตามแนวท่อและสถานที่ตั้งโรงแยกก๊าซด้วย 

2.สัมปทานในลักษณะดังกล่าวยังให้สิทธิแก่ผู้รับสัมปทานให้สามารถครอบครองสารพลอยได้ [2] ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ ที่มากไปกว่าปิโตรเลียม [3] หรือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติชนิดต่างๆ ตามความเข้าใจของประชาชนทั่วไปด้วย 

3.ในมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม [4] ของกฎหมายปิโตรเลียม เปิดโอกาสให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการผลิตปิโตรเลียม ซึ่งท่อขนส่งรวมอยู่ในส่วนของการผลิตด้วย ต่ำกว่าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม-อีไอเอ หรือ EIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้ เพราะผู้รับสัมปทานสามารถเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียมได้โดยอนุมัติจากอธิบดีเป็นหลัก ไม่ต้องนำเสนอแผนการผลิตปิโตรเลียมที่เปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA ด้านโครงการพัฒนาพลังงานหรือปิโตรเลียม หรือ คชก. ให้ความเห็นชอบแต่อย่างใด

4.มิเพียงเท่านั้น ด้วยรูปแบบสัมปทานในลักษณะดังกล่าวที่รัฐจะต้องคุ้มครองและเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับสัมปทาน ในกรณีพื้นที่สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกที่นามูล-ดูนสาด ซึ่งเป็นเขตรอยต่อของ อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ กับ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ที่ประชาชนในนามกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาดต่อต้านการขนอุปกรณ์และเครื่องจักรสำหรับหลุมขุดเจาะสำรวจที่บริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทาน 

เมื่อดูแผนการผลิตแปลงสัมปทาน L27/43 ในภาพรวมทั้งหมด (ซึ่งหลุมขุดเจาะสำรวจดงมูล 5 หรือ DM5 ที่บ้านนามูล-ดูนสาดเป็นหลุมหนึ่งของแปลงสัมปทาน L27/43) อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการจัดทำรายงาน EIA แท่นผลิตและการวางแนวท่อขนส่งปิโตรเลียมและโรงแยกก๊าซรวมเป็นฉบับเดียวกัน โดยเลี่ยงบาลีว่าเป็นโรงแยกสถานะ ไม่ใช่โรงแยกก๊าซ ซึ่งตามหลักของกฎหมายสิ่งแวดล้อมนั้นต้องจัดทำรายงาน EIA แยกส่วนกัน เช่น ในขั้นตอนสำรวจก็ต้องจัดทำรายงาน EIA การขุดเจาะหลุมสำรวจฉบับหนึ่ง ต่อเมื่อสำรวจพบปิโตรเลียมมีศักยภาพในการลงทุนก็ต้องจัดทำรายงาน EIA แท่นผลิตและท่อขนส่งอีกฉบับหนึ่ง ต่อจากนั้นหากปิโตรเลียมที่ผลิตได้มีหลายชนิดและมีความประสงค์จะแยกก๊าซชนิดต่างๆ เพื่อจำหน่ายก็ต้องจัดทำรายงาน EIA โรงแยกก๊าซขึ้นอีกฉบับหนึ่งด้วย 

ดังนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าสัมปทานลักษณะควบรวมสิทธิในการสำรวจและผลิตไว้ด้วยกันตามกฎหมายปิโตรเลียมนั้นเป็นการให้สิทธินักลงทุนหรือผู้รับสัมปทานมากเกินความจำเป็น โดยที่รัฐ-ราชการได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเอาประชาชนไปเป็นหลักประกันผูกพันกับผลประโยชน์ของนักลงทุนเอกชนมากเกินควร

และสิ่งที่เหมือนกันในสาระสำคัญของระบบสัมปทานตามกฎหมายปิโตรเลียมและระบบแบ่งปันผลผลิตที่เป็นประเด็นเรียกร้องของขบวนการประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 โดยขอให้มีการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อนำระบบแบ่งปันผลผลิตมาใช้แทนระบบสัมปทานนั้น คือทั้ง 2 ระบบก็ยังคงไว้ซึ่งลักษณะสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ได้คิดจะแยกสิทธิทั้ง 2 ออกจากกันแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลที่ยังคงต้องการเร่งรัด ส่งเสริม สนับสนุนและเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาดำเนินกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งการทำสัญญาลักษณะดังกล่าว-ควบรวมการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเข้าไว้ด้วยกัน-เป็นระบบที่เอื้อประโยชน์และจูงใจนักลงทุนมากที่สุดนั่นเอง

………………………………………………………….  
เชิงอรรถ

[1]    มาตรา 54 ผู้รับสัมปทานมีสิทธิเก็บรักษาและมีสิทธิขนส่งปิโตรเลียม 
    การเก็บรักษาและการขนส่งปิโตรเลียมให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัมปทาน 

    มาตรา 55 ในกรณีจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายเป็นการด่วน พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้รับสัมปทานมีอำนาจผ่านหรือเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใดเพื่อตรวจ ซ่อมแซม หรือแก้ไขท่อส่งปิโตรเลียมในเวลาใดๆ ได้ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน หรือสถานที่นั้นทราบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
    ถ้าการผ่านหรือเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นใดในที่ดินหรือสถานที่นั้นมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้รับสัมปทาน และถ้าไม่สามารถตกลงกันถึงจำนวนค่าเสียหายได้ ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยโดยนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ

    มาตรา 68 เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการปิโตรเลียม ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ 

[2]    นิยามสารพลอยได้ ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
    “สารพลอยได้” หมายความว่า ก๊าซฮีเลียม คาร์บอนไดออกไซด์ กำมะถัน และสารอื่นที่ได้จากการผลิตปิโตรเลียม

[3]    นิยามปิโตรเลียม ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
    “ปิโตรเลียม” หมายความว่า น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว สารพลอยได้ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และอยู่ในสภาพอิสระ ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นของแข็ง ของหนืด ของเหลว หรือก๊าซ และให้หมายความรวมถึงบรรดาไฮโดรคาร์บอนหนักที่อาจนำขึ้นมาจากแหล่งโดยตรง โดยใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมี แต่ไม่หมายความรวมถึง ถ่านหิน หินน้ำมัน หรือหินอื่นที่สามารถนำมากลั่นเพื่อแยกเอาน้ำมันด้วยการใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมี

[4]    มาตรา 42 ทวิ ….
    ….
    ตลอดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ผลิต ผู้รับสัมปทานจะต้องทบทวนแผนการผลิตปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่ง แล้วแจ้งผลการทบทวนเป็นหนังสือต่ออธิบดีทุกปี และถ้าผู้รับสัมปทานประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียม ให้ผู้รับสัมปทานได้รับอนุมัติจากอธิบดีก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียมได้

 

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ