พอช. / สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดินการรถไฟฯ ทั่วประเทศตาม ‘มติ ครม.14 มีนาคม 2566’ ในพื้นที่ 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ใช้งบประมาณรวม 7,718 ล้านบาทเศษ โดยจะจัดสัมมนาใหญ่ในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น เช่น อปท. เป็นเจ้าภาพร่วมแก้ปัญหา
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางรถไฟ ในพื้นที่ 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ใช้งบประมาณรวม 7,718 ล้านบาทเศษ โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ดำเนินการในปี 2566-2570 นั้น
พอช.เดินสายสร้างความเข้าใจชาวชุมชนริมรางทั่วประเทศ
นายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช. ในฐานะประธาน ‘คณะทำงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมราง (พทร.)’ กล่าวว่า ขณะนี้ พอช.อยู่ในระหว่างการจัดเวทีสร้างความเข้าใจกับผู้แทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางรถไฟทั่วประเทศ โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้จัดสัมมนา ‘เครือข่ายสันรางรถไฟภาคใต้’ ที่จังหวัดสงขลา มีผู้แทนชุมชนริมราง (สันราง) รถไฟใน 9 จังหวัด เช่น ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครราชศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา ฯลฯ เข้าร่วมประมาณ 100 คน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9-10 พฤษภาคม จัดเวทีสัมมนาที่จังหวัดขอนแก่น มีผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)และชาวชุมชนเข้าร่วมประมาณ 120 คน ส่วนภูมิภาคอื่นที่มีจำนวนชุมชนที่ได้รับผลกระทบไม่มาก เช่น ภาคเหนือ ภาคกลางและตะวันตก พอช.และคณะทำงานแก้ไขปัญหา ฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปชี้แจงสร้างความเข้าใจกับชาวชุมชนต่อไป
“นอกจากนี้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ พอช.จะจัดเวทีสัมมนาที่กรุงเทพฯ โดยจะเชิญผู้แทนหน่วยงานในท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล ที่มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางประมาณ 135 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย เข้าร่วมสัมมนา เพื่อสร้างความเข้าใจต่อโครงการแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมราง และเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวชุมชนตามมติคณะรัฐมนตรีร่วมกับ พอช.และภาคีเครือข่าย” ผู้ช่วย ผอ.พอช. กล่าว
ส่วนรูปแบบในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยนั้น ผู้ช่วย ผอ.พอช. บอกว่า จะมีทั้งการปรับปรุง ก่อสร้างบ้านในที่ดินเดิม (กรณีอาศัยในที่ดินเดิมได้) หากอยู่อาศัยในที่ดินเดิมไม่ได้ จะต้องขอเช่าที่ดินใหม่จาก รฟท. เพื่อก่อสร้างบ้าน หรือจัดหาที่ดินรัฐ เอกชน หรือจัดซื้อ-เช่าโครงการที่มีอยู่แล้ว เช่น โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ
ขณะที่ชาวชุมชนที่เดือดร้อนจะต้องรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา เช่น จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินงาน จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุน จดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถาน เพื่อจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวทางบ้านมั่นคงของ พอช. จัดทำสัญญาซื้อหรือเช่าที่ดิน ออกแบบวางผังบ้าน-ผังชุมชน และบริหารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย
ส่วน พอช. จะสนับสนุนการแก้ไขปัญหาตามมติ ครม. โดยจะอุดหนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น ช่วยเหลือการก่อสร้างที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภคส่วนกลาง ไม่เกินครัวเรือนละ 160,000 บาท และสินเชื่อเพื่อก่อสร้างบ้านหรือซื้อที่ดิน ไม่เกินครัวเรือนละ 250,000 บาท
ทั้งนี้มีชุมชนที่อาศัยอยู่ในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง เช่น รถไฟรางคู่เส้นทางภาคใต้ รถไฟความเร็วสูงภาคอีสาน-เหนือ ภาคกลางและตะวันตก รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา รวมทั้งหมด 300 ชุมชน ในพื้นที่ 35 จังหวัด รวม 27,084 ครัวเรือน ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2570 ใช้งบประมาณรวม 7,718 ล้านบาทเศษ
โดยในปี 2566 พอช. มี 6 พื้นที่เร่งด่วนที่จะดำเนินการ รวม 939 ครอบครัว เช่น ชุมชนริมทางรถไฟย่านราชเทวี กรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ประมาณ 400 ครอบครัว (ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมบริเวณริมบึงมักกะสัน) ชุมชนริมทางรถไฟในเขต อ.เมือง จ.นครราชสีมา 166 ครอบครัว ชุมชนริมทางรถไฟในเขต อ.เมือง จ.ขอนแก่น 169 ครอบครัว ชุมชนริมทางรถใน จ.ตรัง 225 ครอบครัว ฯลฯ
กรณีเร่งด่วน ‘วัดใหม่ยายมอญ’ ถูกฟ้องขับไล่
การรถไฟแห่งประเทศไทยมีแผนพัฒนาระบบรางทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา เช่น โครงการรถไฟรางคู่สายใต้ เริ่มจากสถานีใน จ.นครปฐม-หาดใหญ่ จ.สงขลา รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง (กรุงเทพฯ) -สุวรรณภูมิ (สมุทรปราการ) -อู่ตะเภา (จ.ชลบุรี) ฯลฯ รวมทั้งการนำที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน มีชุมชนผู้มีรายได้น้อยอาศัยอยู่ในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ (ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจาก รฟท.อย่างถูกต้อง) ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีหลายชุมชนที่ชาวบ้านได้รวมตัวกันแก้ไขปัญหาไปแล้วก่อนจะมีมติ ครม. 14 มีนาคม 2566 ออกมา
เช่น ชุมชนริมทางรถไฟใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 19 ชุมชน โดนรื้อย้ายตั้งแต่ปี 2561 แต่ชาวชุมชนส่วนหนึ่งได้รวมตัวกันจัดทำโครงการบ้านมั่นคง ‘หินเหล็กไฟ’ โดยการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ระดมทุนซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านใหม่ในตำบลหินเหล็กไฟ อ.หัวหิน ได้รับการสนับสนุนจาก พอช. สร้างบ้านใหม่จำนวน 70 ครัวเรือนในที่ดิน 5 ไร่เศษ สร้างบ้านเสร็จในปี 2565 ปัจจุบันชาวบ้านเข้าอยู่อาศัยแล้ว ถือเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.
นายสยาม นนท์คำจันทร์ ประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมราง กล่าวว่า ล่าสุดมีกรณีชุมชน ‘วัดใหม่ยายมอญ’ หรือวัดอมรทายิการาม เขตบางกอกน้อย จำนวน 21 ครอบครัว (เดิมมีประมาณ 40 ครอบครัว) ซึ่งปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดิน รฟท. มานานหลายสิบปี ถูกกรมบังคับคดีมีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือนออกจากที่ดิน รฟท. ภายในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ และที่ผ่านมา ชาวบ้านมีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยตามแนวทางบ้านมั่นคงของ พอช. โดยการหาที่ดินแปลงใหม่รองรับ มีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ พอช.ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565
“แต่เนื่องจากโครงการบ้านมั่นคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ เช่น การรวมตัวจดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถานของชาวบ้าน การจัดหาที่ดินแปลงใหม่รองรับ ดังนั้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านจึงได้ทำหนังสือถึงศาลแพ่งตลิ่งชันเพื่อขอทุเลาการบังคับคดีออกไปก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปภายในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้” ผช.ผอ.พอช. กล่าว
ทั้งนี้ชาวชุมชนวัดใหม่ยายมอญรวม 26 คน ถูกผู้เช่าที่ดิน รฟท. และ รฟท. เป็นโจทย์ร่วม ฟ้องต่อศาลแพ่งตลิ่งชันในปี 2561 และ 2562 เพื่อนำที่ดินมาพัฒนาเป็นตลาด ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2565 ศาลแพ่งมีคำสั่งถึงที่สุดให้ชาวบ้านรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนยอมรื้อย้าย จนเหลืออีก 17 ราย ชาวบ้านจึงได้ร้องต่อศาลแพ่งตลิ่งชันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขอทุเลาการบังคับคดี และเตรียมแก้ไขปัญหาตามแนวทางบ้านมั่นคงต่อไป
เส้นทางการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.
ในปี 2541 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีนโยบายจะนำที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศมาให้เอกชนเช่าทำธุรกิจ ชาวชุมชนในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค เพื่อขอเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกต้องจาก รฟท. เนื่องจากกลัวถูกไล่รื้อชุมชน เพราะชุมชนส่วนใหญ่ปลูกสร้างบ้านโดยไม่ได้เช่าที่ดิน รฟท.
การเรียกร้องของชุมชนในที่ดิน รฟท.ยังดำเนินต่อเนื่องนับจากปี 2541 จนถึงเดือนกันยายน 2543 มีการชุมนุมที่หน้ากระทรวงคมนาคม มีชาวชุมชนทั่วประเทศมาแสดงพลังกว่า 2,000 คน ใช้เวลา 3 วัน ในที่สุดคณะกรรมการบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ‘บอร์ด รฟท.’ ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543 เห็นชอบข้อตกลงตามที่กระทรวงคมนาคมเจรจากับผู้แทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค คือ
1.ชุมชนที่อยู่นอกเขตทางรถไฟ 40 เมตร หรือที่ดิน รฟท.ที่เลิกใช้ หรือยังไม่มีแผนใช้ประโยชน์ ให้ชุมชนเช่าอยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี
2.ที่ดินที่อยู่ในเขตทางรถไฟรัศมี 40 เมตรจากกึ่งกลางรางรถไฟ ชุมชนสามารถเช่าได้ครั้งละ 3 ปี และต่อสัญญาเช่าได้ครั้งละ 3 ปี หาก รฟท.จะใช้ประโยชน์จะต้องหาที่ดินรองรับในรัศมี 5 กิโลเมตร
3.กรณีชุมชนอยู่ในที่ดิน รฟท.รัศมี 20 เมตร หาก รฟท.เห็นว่าไม่เหมาะสมในการให้เช่าเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว ให้ รฟท.จัดหาที่ดินรองรับในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากชุมชนเดิม ฯลฯ
หลังจากมติบอร์ด รฟท.มีผล ชุมชนในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตรัง สงขลา ฯลฯ รวม 61 ชุมชนได้ทยอยทำสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ และพัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 2547 (อัตราค่าเช่าตารางเมตรละ 20 บาทต่อปี) โดย พอช.สนับสนุนสินเชื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยและงบประมาณบางส่วนตามโครงการบ้านมั่นคง
จนเมื่อ รฟท.มีโครงการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2560 ทำให้มีชุมชนที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น ผลการสำรวจข้อมูลพบว่า มีชุมชนที่จะได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศ ในพื้นที่ 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน โดยที่ผ่านมามีหลายชุมชนโดนไล่รื้อแล้ว
นับแต่นั้น เครือข่ายริมรางรถไฟและสลัม 4 ภาคจึงเคลื่อนไหวร่วมกับ ‘ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม’ (ขปส.) หรือ P-M0ve ผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาจนประสบความสำเร็จ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมาเห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางดังกล่าว ขณะที่เครือข่ายริมรางรถไฟฯ ยืนยันให้ รฟท. นำมติบอร์ด รฟท. 13 กันยายน 2543 มาใช้ในการจัดหาที่ดินรองรับชาวชุมชน
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์