โดย : มิ่งขวัญ ถือเหมาะ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาสังคม ปี 2
บรรยากาศที่กำลังโชยมาเตะต้องอย่างเย็นเฉียบ ลมหนาวที่พัดผ่านมานั้น พัดนำความอบอุ่นของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา มาด้วย วิถีการดำเนินชีวิตร่วมอยู่ด้วยกัน เริ่มกลับเข้ามาขยับจังหวะชีวิต ดูคึกคัก แลดูมีความสุขให้กันและกันอีกครั้ง ฤดูกาลนี้ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับรวงข้าวสีทองที่สุกงอมทั่วท้องทุ่งนาอย่างเต็มที่แล้ว บรรยากาศแบบนี้ความย้อนหลังมักจู่โจมหวนให้ผู้เขียนหวนนึกถึงช่วงวัยเด็ก เป็นฉากๆโดยเสมอ
หมู่บ้านนาตัง ต.เขวาสินรินทร์ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ เป็นชุมชนที่ผู้เขียนถือกำเนิดบนผืนดินนี้ ผู้เขียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมๆ ของรวงข้าวกระจายฟุ้งทั่วท้องทุ่ง พ่อชอบใส่เสื้อเซิ้ตแขนยาวเก่าๆ พาผู้เขียนซ้อนรถมอเตอร์ไซค์มุ่งสู่ผืนนา ครั้นถึงที่หมาย พ่อพาเดินดูต้นข้าว พร้อมบอกว่า ข้าวสุกงอมแบบนี้ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ผู้เขียนพยักหน้าน้อมรับคำเตือนของพ่ออย่างโดยดีว่า การเกี่ยวข้าวเป็นงานหนัก เหนื่อย หลังก้ม ๆ เงย ๆ สู้อยู่กับกลางแดดที่คอยจ้องเผาผลาญผิวกายของเราให้ดำเกรียมอยู่ทุกช่วงขณะ แต่ใครจะรู้ลึกถึงจิตวิญญาณชาวนาบ้างว่า หากพวกเราไม่ทำนา แล้วเราจะเอาข้าวที่ไหนกิน แม้รายได้จากการขายข้าวจะมีเพียงน้อยนิด หรือบางครั้งก็ขาดทุน แต่คุณค่าและประโยชน์ของข้าวที่พวกเราปลูก มันมีค่ามากมายมหาศาล หล่อเลี้ยงชีวิตทุกคนให้เติบวัยมาถึงทุกวันนี้
เสียงเคียวเกี่ยวข้าว สลับกับเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของพ่อกับชาวบ้านที่มาร่วมกันเกี่ยว ดังเป็นระยะๆ ใครเหนื่อยก็นั่งพักร่มไม้ปลายนา หายเหนื่อยก็กลับมาควงเคียวเกี่ยวกันต่อ แสงแดดอ่อนๆที่ละเลงยามเช้า กระทั่งช่วงบ่ายจะเริ่มแรงขึ้น แต่ความเหนื่อยล้าบนคราบเหงื่อไคลที่ถูกแสงแดดเตะต้องกายจะทำให้ดูอบอ้าวไปทั่วเรือนร่าง แต่ความรู้สึกข้างในดูช่างอบอุ่นเหมือนความอิ่มเอิบใจของครอบครัวและชุมชนเราเสียจริง พ่อดูมีความสุขกับมัน ผู้เขียนสังเกตรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าและแววตาคู่นั้น
ข้าวที่ผ่านการเก็บเกี่ยวด้วยคมเคียวกับคราบเหงื่อไคลชองชาวนา ถูกนำมารวมเป็นกองขนาดใหญ่บนตาข่ายสีฟ้าทอดยาวไปตามพื้นถนน พวกเราช่วยกันเกลี่ยข้าวเพื่อให้ทุกเมล็ดได้รับแสงแดดโดยทั่วถึง ความชื้นจะได้ลดลง ก่อนนำไปขาย แม้อากาศจะเริ่มแผ่ความร้อนแรงขึ้น แต่ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แม้จะเหนื่อยด้วยวัยยังเด็ก แต่ช่างเป็นความทรงจำอันงดงามเหลือเกิน คิดถึงเมื่อไหร่ก็สุขใจขึ้นมาเมื่อนั้น ที่เคยช่วยทำนา ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรมากนัก แต่รู้สึกมีความสุขมากกับการได้ทำนาและเห็นข้าวที่ผู้เขียนร่วมปลูกเองกับมือนั้นโตขึ้นมาเป็นรวงข้าวสีทองอร่ามตา
หลายปีผ่านมาจวบจนปัจจุบัน ถึงช่วงลมหนาวพัดมาเป็นการส่งสัญญาณว่าได้เวลาเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ข้าวในนาจะสุกเป็นสีเหลืองทองอร่ามทั่วท้องทุ่ง มองดูแล้วมันทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้กิจกรรมที่ผู้เขียนเคยมีส่วนร่วมจะเริ่มห่างหาย ด้วยเหตุต้องย้ายถิ่นเข้ามาเรียนในระดับอุดมศึกษาที่ต่างจังหวัด ทำให้ขาดช่วงโอกาสไปร่วมทำนาเป็นบางครั้ง ทว่านอกจากภาพหยาดเหงื่อรินไหลที่พ่อส่งเสียให้ได้รับการศึกษาถึงระดับปริญญาตรีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผูกลึกและสะกิดให้ผู้เขียนหมั่นปฎิบัติมาทุกครั้ง ตามคำพร่ำสอนของพ่อ ว่า “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา สงสารชาวนา เด็กตาดำๆ”
ใครจะรู้ลึกถึงจิตวิญญาณชาวนาบ้างว่า หากพวกเราไม่ทำนา แล้วเราจะเอาข้าวที่ไหนกิน แม้รายได้จากการขายข้าวจะมีเพียงน้อยนิด หรือบางครั้งก็ขาดทุน แต่คุณค่าและประโยชน์ของข้าวที่พวกเราปลูก มันมีค่ามากมายมหาศาล หล่อเลี้ยงชีวิตทุกคนให้เติบวัยมาถึงทุกวันนี้