แม่น้ำกก เป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งของพม่าและไทย มีความยาวประมาณ 285 กิโลเมตร มีต้นกำเนิดที่เมืองกก จังหวัดเชียงตุง ในรัฐฉานของพม่า ไหลเลาะเข้าสู่ประเทศไทยที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไหลผ่านอำเภอต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายลงสู่แม่น้ำโขงที่สบกก อำเภอเชียงแสน
ระยะทางที่แม่น้ำกกไหลผ่านประเทศไทยก่อนจะลงสู่แม่น้ำโขงมีความยาวประมาณ 130 กิโลเมตร หล่อเลี้ยงผู้คนและสรรพสิ่งมาเนิ่นนาน เป็นแหล่งน้ำใช้ในการเกษตร และทำประมงพื้นบ้าน
นอกจากนี้น้ำกกยังเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่สำคัญ เป็นเส้นทางล่องเรือและแพจากท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ผ่านหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ผ่านโตรกธารและทิวเขา สู่จุดหมายที่ปางช้างบ้านรวมมิตร อ.เมือง จ.เชียงราย หากเป็นการล่องแพและพักแรมจะใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ส่วนเรือหางยาวใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง
ท่องเที่ยวชุมชนแห่งแรกที่ ‘บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร’
บ้านรวมมิตร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก อยู่ในเขตเทศบาลตำบลแม่ยาว อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 11 กิโลเมตร ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง ‘ปะกาเกอะยอ’ นับถือศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ยังมีชาวอ่าข่า ลาหู่ ฯลฯ ประชากรประมาณ 2,400 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ปลูกสับปะรด เลี้ยงสัตว์ รับจ้างทั่วไป ค้าขาย และทำ ‘ทัวร์ช้าง’ เปิดบริการนักท่องเที่ยวทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น
พ่อหลวงกำพล เฉลิมเลี่ยมทอง ผู้ใหญ่บ้านรวมมิตร เล่าว่า ชาวบ้านรวมมิตรส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง ในอดีตจะใช้ช้างเป็นพาหนะ เพราะถนนหนทางยังไม่ดี ในปี 2518 จังหวัดเชียงรายเริ่มมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามาเที่ยว คนที่มีช้างจึงนำช้างมาให้นักท่องเที่ยวขี่ พาเไปชมธรรมชาติริมแม่น้ำกกและหมู่บ้านชนเผ่าต่างๆ เริ่มแรกมีช้างเพียง 4 ตัว
ต่อมาไกด์และบริษัทท่องเที่ยวได้นำรายการขี่ช้างที่บ้านรวมมิตรบรรจุไว้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวเชียงราย จึงทำให้การขี่ช้างที่บ้านรวมมิตรมีคนรู้จักมากขึ้น และเมื่อมีการจัดทัวร์ล่องแม่น้ำกกจากท่าตอนมาที่เชียงราย ปางช้างที่บ้านรวมมิตรจึงกลายเป็นจุดหมายปางทางของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Adventure สัมผัสกับธรรมชาติ จึงทำให้ทัวร์ช้างที่บ้านรวมมิตรได้รับความนิยม มีการจัดหาช้างจากจังหวัดต่างๆ มาให้บริการนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ช่วงปี 2554 จำนวนช้างที่บ้านรวมมิตรมีจำนวนถึง 35 เชือก
“ช่วงก่อนโควิดระบาด ปางช้างบ้านรวมมิตรมีช้างกว่า 30 เชือก มีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทย คนจีน และฝรั่งมาเที่ยว คิดราคานั่งช้างครึ่งชั่วโมง 300 บาท หนึ่งชั่วโมง 500 บาท นั่งได้ครั้งละ 2 คน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ เพราะปางช้างที่นี่จะใช้วิธีการลงหุ้นกัน และทำให้คนขายอาหารช้าง คนขายของที่ระลึก ขายเสื้อผ้า ที่พักโฮมสเตย์ มีรายได้ด้วย แต่พอโควิดระบาดนักท่องเที่ยวหายหมด ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นมาบ้าง” พ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านบอกถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วงโควิดจนถึงเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา
หากจะว่าไปแล้ว ทัวร์ช้างที่บ้านรวมมิตรถือว่าเป็นการจัด ‘การท่องเที่ยวโดยชุมชน’ หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แห่งแรกๆ ของประเทศไทย เพราะชาวบ้านร่วมกันบริหารจัดการเองตั้งแต่ปี 2518 เช่น ใช้วิธีการลงหุ้นซื้อช้างมาเลี้ยงเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว ไม่ใช่ลักษณะปางช้างแบบ ‘นายทุน’ ที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว นอกจากนี้ยังจัดตั้งเป็น ‘ชมรมทัวร์ช้าง’ มีคณะกรรมการบริหาร มีการจัดคิวเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว ฯลฯ
‘สีทน’ ผู้จัดการปางช้างชาวกะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร บอกว่า ชาวบ้านที่นี่จะลงหุ้นกันซื้อช้างเพื่อนำมาให้บริการนักท่องเที่ยว โดยจะลงหุ้นกันตามเครือญาติหรือคนที่รู้จักกัน ช้างตัวหนึ่งอาจลงหุ้น 10-20 คน หุ้นหนึ่งมีราคาตั้งแต่หมื่นบาทจนถึงแสนบาท ตามราคาช้าง ส่วนราคาช้างตัวหนึ่งปัจจุบันประมาณ 2 ล้านบาทขึ้นไป หากเป็นช้างลักษณะดี มีความสวยงาม ราคาอาจสูงถึง 4 ล้านบาท เมื่อมีรายได้จึงจะนำมาแบ่งกันตามข้อตกลงของคนที่ลงหุ้น
“พอโควิดระบาด ไม่มีนักท่องเที่ยวมา เจ้าของช้างไม่มีรายได้ ต้องขายช้างออกไป ส่วนใหญ่ขายให้คนเลี้ยงช้างที่จังหวัดสุรินทร์ ตอนนี้ช้างที่บ้านรวมมิตรเหลืออยู่ 14 ตัว” ผู้จัดการปางช้างบอก
จากทัวร์ช้างสู่การพัฒนา
การท่องเที่ยว ‘ทัวร์ช้าง’ ก่อนโควิดระบาด ทำให้ชาวบ้านรวมมิตรและใกล้เคียงมีรายได้จากการท่องเที่ยวกันถ้วนหน้า เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะมาขี่ช้างแล้ว ‘ชมรมทัวร์ช้าง’ ยังได้เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย เช่น การล่องแพในแม่น้ำกก ล่องเรือจากสะพานแม่น้ำกก อ.เมืองเชียงราย มายังบ้านรวมมิตร มี ‘ทัวร์ล้อเกวียน’ ให้นัก ท่องเที่ยวนั่งเกวียน การแสดงศิลปะ วัฒนธรรมชนเผ่า ที่พักโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ขายของที่ระลึก เสื้อผ้า ฯลฯ
นอกจากนี้ ในช่วงที่การท่องเที่ยวทัวร์ช้างอยู่ในยุคบูม (ก่อนปี 2555) จำนวนช้างมีประมาณ 35 เชือก ช้างตัวหนึ่งจะถ่ายมูลประมาณวันละ 40-50 กิโลกรัม เมื่อช้างพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมหมู่บ้านก็จะถ่ายมูลเรี่ยราด วันหนึ่งรวมแล้วกว่า 1,000 กิโลกรัม ทำให้เกิดความสกปรก เลอะเทอะ
ชมรมทัวร์ช้างจึงหาวิธีกำจัดมูลช้าง โดยนำมูลช้างมาใช้ประโยชน์ เช่น นำมูลช้างมาหมักและผลิตเป็นแก๊สชีวภาพ ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลตำบลแม่ยาว ผลิตแก๊สจำนวน 10 บ่อ ใช้ในหมู่บ้าน 9 บ่อ ในโรงเรียน 1 บ่อ นอกจากนี้ชมรมทัวร์ช้างยังร่วมกับชาวบ้านร่วมกันจัดตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา อนุรักษ์น้ำกก จัดตั้งป่าชุมชน ดูแลป่าอนุรักษ์เนื้อที่กว่า 500 ไร่ ฯลฯ
เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย ผู้อำนวยการสมาคมสร้างสรรค์ชีวิตและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงราย บอกว่า บ้านรวมมิตรและพื้นที่ใกล้เคียงที่อยู่ริมแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายเคยเป็นพื้นที่ที่จะมี ‘โครงการกก-อิง-น่าน’ ซึ่งเป็นโครงการผันน้ำจากแม่น้ำกก จ.เชียงราย แม่น้ำอิง จ.พะเยา และแม่น้ำน่าน จ.น่าน รวมประมาณปีละ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเข้าสู่เขื่อนสิริกิติ์ที่ จ.อุตรดิตถ์ เพื่อผันน้ำลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในภาคกลาง
โดยผู้เชี่ยวชาญจากองค์การไจก้า ประเทศญี่ปุ่น ได้ศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นตั้งแต่ปี 2541-2542 แล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้ทำ เพราะมีการคัดค้านจากภาคประชาชนและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากกังวลเรื่องผลกระทบ เช่น อาจจะเกิดน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำ ท่วมพื้นที่เกษตรริมน้ำและบ้านเรือนประชาชน ปลาและสัตว์น้ำจะสูญพันธุ์ ฯลฯ
ทั้งนี้ที่ผ่านมา สมาคมสร้างสรรค์ชีวิตฯ ได้เข้ามาให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องการอนุรักษ์น้ำกก อนุรักษ์พันธุ์ปลา สัตว์น้ำ และพันธุ์พืช โดยชาวบ้านรวมมิตรได้ร่วมรณรงค์คัดค้านโครงการกก-อิง-น่านด้วย เพราะกลัวว่าจะเกิดผลกระทบต่างๆ รวมทั้งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวทัวร์ช้าง เพราะบ้านรวมมิตรอยู่ริมน้ำกก
อย่างไรก็ตาม แม้โครงการกก-อิง-น่านจะไม่เกิดขึ้น แต่ก็มีความพยายามของหลายฝ่ายที่จะรื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาอีก เช่น ในเดือนมีนาคม 2563 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ได้ลงพื้นที่สำรวจพื้นที่โครงการกก-อิง-น่าน ที่เชียงราย พะเยา และน่าน ชาวบ้านจึงยังเฝ้าระวัง และติดตามข้อมูลโครงการนี้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
ขณะเดียวกัน สมาคมสร้างสรรค์ชีวิตฯ ได้เข้ามาสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของชาวกะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร เพื่อยกระดับการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และพัฒนาสินค้า ‘ผ้าทอกะเหรี่ยง’ รวมทั้งส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกผักสวนครัว ผักสลัด เริ่มโครงการในปี 2564 ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
ป้าสมัย ตะไนย อายุ 54 ปี สมาชิกกลุ่มทอผ้าบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร บอกว่า กลุ่มมีสมาชิก 30 คน จัดตั้งกลุ่มตั้งแต่ปี 2547 สมาชิกจะต้องถือหุ้นอย่างน้อยคนละ 2 หุ้นๆ ละ 50 บาท เมื่อมีกำไรจะหักเงินเข้ากลุ่ม 10 % เป็นกองกลางเอาไว้บริหารกลุ่ม เป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว เพราะส่วนใหญ่จะทำนา ปลูกสับปะรด คนหนึ่งจะมีรายได้จากงานทอผ้า ประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่จะผลิตผ้าทอ เสื้อ ผ้านุ่ง ชุดกะเหรี่ยง ฯลฯ ขายให้นักท่องเที่ยว และไปขายในงานออกร้านต่างๆ ราคาตั้งแต่ 400-500 บาทขึ้นไป แต่รูปแบบเสื้อผ้า ลวดลายยังเป็นแบบเดิม
“สมาคมฯ เข้ามาส่งเสริมให้สมาชิกกลุ่มได้พัฒนาผ้าทอกะเหรี่ยง สอนให้ย้อมสีผ้าจากธรรมชาติ ใช้ใบไม้ เปลือกไม้ที่มีอยู่ในหมู่บ้านเอามาย้อมสี เช่น เปลือกประดู่จะให้สีน้ำตาล ใบอะโวคาโด้ให้สีเทา ดอกดาวเรืองให้สีเหลืองส้ม ไม่ต้องเสียเงินซื้อสีเคมี และผ้าย้อมสีธรรมชาติจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สารเคมีไม่ไหลลงแม่น้ำ ใส่ก็สบาย และสอนเรื่องผ้ามัดย้อม การออกแบบ ตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อกลุ่มจะได้มีสินค้าใหม่ๆ ดูทันสมัย” ป้าสมัยบอก
เทวินฏฐ์ ผู้อำนวยการสมาคมสร้างสรรค์ชีวิต ฯ เสริมว่า บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรถือเป็นต้นแบบในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยชาวบ้านได้ช่วยกันอนุรักษ์น้ำกก พันธุ์ปลาและสัตว์น้ำ ดูแลป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และนำต้นทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมต่างๆ มาสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และนำมาจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเอง เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน…ที่ชาวบ้านได้ประโยชน์ !!
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์