ทำเนียบรัฐบาล/ ครม.เห็นชอบอนุมัติแผน 5 ปี (2566-2570) แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางรถไฟทั่วประเทศ ตามที่กระทรวง พม.เสนอ รวม 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ใช้งบ 7,718 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะอุดหนุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ไม่เกินครัวเรือนละ 160,000 บาท และสินเชื่อไม่เกิน 250,000/ครัวเรือน ขณะที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือพอช. พร้อมเดินหน้าทันที 939 ครอบครัวใน 6 จังหวัด เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยใหม่ที่มั่นคง มีคุณ ภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (14 มีนาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม มีวาระการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนผู้มีรายได้น้อยในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง ในพื้นที่ 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ใช้งบประมาณรวม 7,718 ล้านบาทเศษ
โดยทีมโฆษกคณะรัฐมนตรีแถลงรายละเอียดว่า การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง จะดำเนินการโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. โดยการกำกับของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แบ่งการช่วยเหลือเป็น 3 ส่วน คือ 1.งบอุดหนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างสาธารณูปโภค การพัฒนาที่อยู่อาศัย ไม่เกินครัวเรือนละ 80,000 บาท 2.งบอุดหนุนผู้ได้รับผลกระทบ เช่น ค่าเช่าบ้านระหว่างการก่อสร้างบ้านถาวร ไม่เกินครัวเรือนละ 80,000 บาท และ 3.งบสินเชื่อเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยหรือซื้อที่ดินใหม่ ไม่เกินครัวเรือนละ 250,000 บาท
ย้อนรอยการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.
รูปธรรมที่ ‘หินเหล็กไฟ จ.ประจวบคีรีขันธ์’
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีแผนแม่บทในการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศ เช่น โครงการรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ขณะนี้หลายโครงการเริ่มดำเนินการแล้ว เช่น รถไฟรางคู่สายใต้ จากนครปฐม-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ หนองคาย (กรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย) ระยะทาง 609 กิโลเมตร ขณะนี้กำลังก่อสร้างในช่วงนครราชสีมา โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเด่นชัย จ.แพร่-เชียงของ จ.เชียงราย ฯลฯ
ขณะเดียวกันมีชุมชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศที่อาศัยอยู่ในที่ดิน รฟท. มานานหลายสิบปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุมชนผู้มีรายได้น้อย อาศัยอยู่สองข้างทางรถไฟ ไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับ รฟท. บางชุมชนทำสัญญาเช่าที่ดินอย่างถูกต้องกับ รฟท. แต่จะถูกยกเลิกสัญญา จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวเส้นทางการพัฒนาระบบรางเช่นกัน
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีหลายสิบชุมชนที่ต้องรื้อย้ายออกจากที่ดิน รฟท. แล้ว เช่น ชุมชนย่านสถานีรถไฟหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวม 19 ชุมชน ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ค้าขายเล็กๆ น้อย ลูกจ้างร้านอาหาร สถานบริการในหัวหิน โดนรื้อย้ายตั้งแต่ช่วงปี 2561-2562 เพื่อก่อสร้างรางคู่เส้นทางนครปฐม-หัวหิน ทำให้ชุมชนต่างๆ ต้องแตกฉานซ่านเซ็น ไม่สามารถอยู่อาศัยเพื่อทำมาหากินที่หัวหินต่อไปได้
นายสยาม นนท์คำจันทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ในฐานะโฆษก พอช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา พอช.ได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยชาวชุมชนที่มีรายได้น้อยในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศ เช่น ชุมชนหินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มี 70 ครอบครัว ต้องรื้อย้ายออกจากที่ดิน รฟท.ในปี 2561-2562
ขณะที่ พอช.ได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาตามโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ โดยชาวบ้านรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการแก้ไขปัญหา แล้วจดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถานเพื่อจัดทำโครงการบ้านมั่นคง โดยจัดซื้อที่ดินใหม่ในตำบลหินเหล็กไฟ เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่เศษ เพื่อก่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ ห่างจากชุมชนเดิมประมาณ 10 กิโลเมตร โดย พอช.สนับสนุนสินเชื่อซื้อที่ดินและก่อสร้างบ้าน รวมทั้งหมดประมาณ 27 ล้านบาทเศษ
เริ่มก่อสร้างบ้านในช่วงต้นปี 2564 แบ่งที่ดินได้ครอบครัวละ 22 ตารางวา สร้างบ้านชั้นเดียวขนาดประมาณ 4×8 และ 6×8 ตารางเมตร สร้างบ้านเสร็จในช่วงกลางปี 2565 ขณะนี้ชาวบ้านเข้าอยู่อาศัยหมดแล้ว ทำให้ชาวบ้านมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง สามารถทำมาหากินที่หัวหินต่อไปได้ โดยมีภาระผ่อนชำระค่าที่ดินและก่อสร้างบ้านประมาณเดือนละ 2,600 บาท ระยะเวลา 15 ปี ขณะที่หากเช่าที่พักในหัวหินจะมีค่าเช่าไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท/เดือน
ป้าอัมพร นาถถัต อายุ 65 ปี อาชีพรับจ้างนวดแผนโบราณ บอกว่า บ้านเดิมอยู่อีสาน เข้ามาหากินที่หัวหินตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ได้ค่านวดชั่วโมงละ 110 บาท วันหนึ่งได้นวดไม่กี่ชั่วโมง พอมีรายได้อยู่กินไปวันๆ ต้องเช่าบ้านอยู่มาตลอด พอโดนไล่ที่จึงมาเข้าร่วมกับโครงการบ้านมั่นคง โดยออมทรัพย์กับสหกรณ์มาตลอด เดือนละ 300 บาท และส่งค่าหุ้นสหกรณ์เดือนละ 200 บาท
“ตอนนี้ป้าเข้าอยู่ที่บ้านใหม่ได้เกือบ 1 ปีแล้ว เป็นบ้านชั้นเดียวขนาด 4 คูณ 8 ตารางเมตร ไม่กว้างใหญ่ แต่ก็อยู่กับลูกสาวได้สบาย ดีกว่าเช่าบ้านอยู่ เพราะเป็นของตัวเอง ป้าผ่อนเดือนละ 2,600 บาท ถ้ามีนักท่องเที่ยวกลับมาที่หัวหินก็ยังทำมาหากินได้ มีรายได้พอส่งค่าบ้าน ค่าที่ดิน ลูกสาวทำงานแล้วก็ช่วยผ่อนด้วย” ป้าอัมพรบอก
P-Move สลัม 4 ภาคผลักดันแก้ปัญหาที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมหรือ P-Move และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้เคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นผลกระทบมาจากนโยบายรัฐทั่วประเทศ ซึ่งปัญหาชุมชนผู้มีรายได้น้อยในที่ดิน รฟท. เป็นหนึ่งในปัญหาหลายสิบปัญหาที่ P-Move และเครือข่ายสลัม 4 ภาค เสนอให้รัฐบาลแก้ไข โคยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เห็นชอบตามข้อเสนอของ P-Move ในการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท. โดยให้ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาตามมติคณะกรรมการ รฟท. 13 กันยายน 2543
ทั้งนี้มติคณะกรรมการ รฟท. วันที่ 13 กันยายน 2543 มีที่มาจากนโยบาย รฟท. ในปี 2541 จะนำที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศมาให้เอกชนเช่าทำธุรกิจ ชาวชุมชนในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค เพื่อขอเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกต้องจาก รฟท. เนื่องจากกลัวถูกไล่รื้อชุมชน
การเรียกร้องของชุมชนในที่ดิน รฟท.ยังดำเนินต่อเนื่องนับจากปี 2541 จนถึงเดือนกันยายน 2543 มีการชุมนุมที่หน้ากระทรวงคมนาคม กรุงเทพฯ มีชาวชุมชนทั่วประเทศมาแสดงพลังกว่า 2,000 คน ใช้เวลา 3 วัน ในที่สุดคณะกรรมการบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ‘บอร์ด รฟท.’ ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543 โดยเห็นชอบข้อตกลงตามที่กระทรวงคมนาคมเจรจากับผู้แทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค คือ
1.ชุมชนที่อยู่นอกเขตทางรถไฟ 40 เมตร หรือที่ดิน รฟท.ที่เลิกใช้ หรือยังไม่มีแผนใช้ประโยชน์ ให้ชุมชนเช่าอยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี 2.ที่ดินที่อยู่ในเขตทางรถไฟรัศมี 40 เมตรจากกึ่งกลางรางรถไฟ ชุมชนสามารถเช่าได้ครั้งละ 3 ปี และต่อสัญญาเช่าได้ครั้งละ 3 ปี หาก รฟท.จะใช้ประโยชน์จะต้องหาที่ดินรองรับในรัศมี 5 กิโลเมตร ระหว่างการเช่า รฟท.ต้องอนุญาตให้หน่วยงานต่างๆ เช่น ประปา ไฟฟ้า เข้ามาบริการชุมชนได้ ส่วนชุมชนจะต้องร่วมมือกับ รฟท.ในการจัดการสภาพพื้นที่ให้เรียบร้อย
3.กรณีชุมชนอยู่ในที่ดิน รฟท.รัศมี 20 เมตร หาก รฟท.เห็นว่าไม่เหมาะสมในการให้เช่าเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว ให้ รฟท.จัดหาที่ดินรองรับในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากชุมชนเดิม 4.ให้ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค มีส่วนร่างสัญญาและกำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินร่วมกับ รฟท. ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรม
หลังจากมติบอร์ด รฟท.มีผล ชุมชนในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สงขลา ฯลฯ รวม 61 ชุมชนได้ทยอยทำสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ และพัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 2547 (อัตราค่าเช่าตารางเมตรละ 20 บาทต่อปี) จน รฟท.มีโครงการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศในปัจจุบัน ทำให้มีชุมชนที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เครือข่ายริมรางรถไฟและสลัม 4 ภาคจึงเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาจนประสบความสำเร็จ
นอกจากมติ ครม. 1 กุมภาพันธ์ดังกล่าวแล้ว ครม.ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดทำแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง โดยให้พิจารณาช่วยเหลืองบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยเทียบเท่ากับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและเปรมประชากรที่ พอช. ดำเนินการอยู่
โดยที่ผ่านมา พอช.ร่วมกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค สหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ (ชมฟ.) และเครือข่ายริมรางรถไฟ 5 ภาค ร่วมกันสำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ เพื่อจัดทำโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางตามมติ ครม.ดังกล่าว
ผลการสำรวจพบว่า มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศ ในพื้นที่ 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ขณะนี้บางชุมชนโดนไล่รื้อแล้ว เช่น ชุมชนริมทางรถไฟในย่านราชเทวี กรุงเทพฯ ที่ต้องรื้อย้ายเพื่อใช้พื้นที่ก่อสร้างทางรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ชุมชนริมทางรถไฟในเขต อ.เมือง จ.นครราชสีมา ชุมชนริมทางรถไฟในเขต อ.เมือง จ.ขอนแก่น จากโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ฯลฯ
นายสยาม นนท์คำจันทร์ โฆษก พอช. กล่าวว่า ข้อมูลชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศนี้ พอช.ได้นำมาจัดทำเป็นโครงการเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเสนอผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามลำดับ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สภาพัฒน์ และสำนักงบประมาณ จนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และ ครม.ได้มีมติเห็นชอบแผนงานในการประชุมวันนี้ (14 มีนาคม)
พอช. พร้อมเดินหน้าพัฒนา 6 พื้นที่เร่งด่วน 939 ครอบครัว
โฆษก พอช. กล่าวว่า หลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบแผนงานการแก้ไขปัญหาชุมชนผู้มีรายได้น้อยในวันนี้แล้ว พอช.ก็พร้อมจะเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยชาวชุมชน โดยขณะนี้มี 6 พื้นที่เร่งด่วนที่จะดำเนินการ คือ 1.ชุมชนริมทางรถไฟย่านราชเทวีที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ขณะนี้มีที่ดินรองรับย่านบึงมักกะสัน เขตราชเทวี จำนวน 306 ครอบครัว โดย พอช. อยู่ในระหว่างการออกแบบที่อยู่อาศัย
2.ชุมชนริมทางรถไฟในจังหวัดฉะเชิงเทรา 43 ครอบครัว 3..ชุมชนริมทางรถไฟในจังหวัดพิษณุโลก 30 ครอบครัว 4.ชุมชนริมทางรถไฟในเขต อ.เมือง จ.นครราชสีมา 166 ครอบครัว 5.ชุมชนริมทางรถไฟในเขต อ.เมือง จ.ขอนแก่น 169 ครอบครัว และชุมชนริมทางรถใน จ.ตรัง 225 ครอบครัว รวมทั้งหมด 939 ครอบครัวที่จะดำเนินการในปีนี้
“ส่วนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยนั้น พอช.จะสนับสนุนตามกระบวนการบ้านมั่นคง คือ ชาวชุมชนที่เดือดร้อนต้องรวมกลุ่มกันจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุน และจัดตั้งเป็นสหกรณ์เคหสถานเพื่อบริหารจัดการโครงการ เมื่อสามารถเช่าที่ดินจาก รฟท. หรือหาที่ดินแปลงใหม่ได้แล้ว พอช.ก็จะสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาที่อยู่อาศัย การก่อสร้างสาธารณูปโภคส่วนกลาง เช่น ถนน ประปา ไฟฟ้า ระบบบำบัดน้ำเสีย รวมครัวเรือนหนึ่งไม่เกิน 160,000 บาท และสินเชื่อซื้อที่ดิน ก่อสร้างบ้านไม่เกิน 250,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี” นายสยามชี้แจงรายละเอียด
ส่วนรูปแบบการดำเนินการนั้น จะมีทั้งการปรับปรุง ก่อสร้างบ้านในที่ดินเดิม (กรณีอาศัยในที่ดินเดิมได้) การก่อสร้างบ้านในที่ดินใหม่ หรือจัดซื้อ-เช่าในโครงการที่มีอยู่แล้ว เช่น โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ ฯลฯ นอกจากนี้เมื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยแล้ว พอช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นจะร่วมกันส่งเสริมอาชีพ พัฒนาสิ่งแวดล้อม กิจกรรมเด็กและเยาวชน การดูแลผู้สูงอายุ ฯลฯ เพื่อให้ชาวชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ตามแผนงานโครงการ ในปี 2566 จะเริ่มดำเนินการใน 6 พื้นที่ รวม 939 ครอบครัว ใช้งบประมาณ 267 ล้านบาทเศษ และจะดำเนินการในปีต่อๆ ไป จนถึงปี 2570 รวมทั้งหมด 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ใช้งบประมาณทั้งหมด 7,718 ล้านบาทเศษ
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์