ขบวนคนจน 5 ภาครวมพลังแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในที่ดิน รฟท. ‘เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม’ เช่าที่ดินรถไฟ 30 ปีสร้างบ้านมั่นคง ด้าน พอช. หนุนงบประมาณ 12 ล้านบาทสร้างบ้าน 166 หลัง
นครราชสีมา / ขบวนคนจน 5 ภาครวมพลังแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในที่ดินการรถไฟฯ โดย ‘เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม’ ประเดิมเช่าที่ดิน รฟท. บ้านพะไล ต.หัวทะเล อ.เมือง ระยะเวลา 30 ปี สร้าง ‘บ้านมั่นคง’ 166 หลัง โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณ 12 ล้านบาทเศษ เริ่มสร้างมกราคม 2566 เพื่อให้ชาวบ้านมีที่อยู่อาศัยใหม่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เปลี่ยนจากชุมชนชนบุกรุกเป็นเช่าที่ดินและอยู่อาศัยอย่างถูกต้อง ด้านเครือข่ายริมรางรถไฟ 5 ภาคเตรียมขยับแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศ รวม 35 จังหวัด 346 ชุมชน รวม 27,056 หลังคาเรือน โดยขอเช่าที่ดิน รฟท.สร้างบ้านมั่นคง
การพัฒนาระบบรางรถไฟทั่วประเทศของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ฯลฯ ทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนชนผู้มีรายได้น้อยที่อาศัยอยู่ในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ จำนวน 35 จังหวัด 346 ชุมชน รวม 27,056 หลังคาเรือน ในจำนวนนี้หลายชุมชนโดนไล่รื้อหรือยกเลิกสัญญาเช่าไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการเจรจากับ รฟท. เพื่อขอเช่าที่ดินที่ รฟท.ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น ชุมชนริมทางรถไฟในกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)
เคลื่อนขบวนคนจนริมราง รฟท.จัดงาน ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ ที่โคราช
ขณะเดียวกันเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก (World Habitat Day) ปี 2565 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เครือข่ายจนคนทั่วประเทศในนามของสลัม 4 ภาค, สหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ (ชมฟ.) เครือข่ายบ้านมั่นคง ขบวนองค์กรชุมชน ฯลฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในภูมิภาคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เช่น กรุงเทพฯ สงขลา ชัยนาท และล่าสุด ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม จัดงานที่จังหวัดนครราชสีมา
โดยในวันนี้ (19 ธันวาคม) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคอีสาน (มทร.อีสาน) อ.เมือง จ.นครราชสีมา มีการจัดงาน “วันที่อยู่อาศัยโลกประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การพัฒนาที่อยู่อาศัย ใส่ใจช่องว่าง ไม่ทิ้งใคร และที่ใดไว้ข้างหลัง สานพลังการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟ” มีกิจกรรมต่างๆ เช่น นิทรรศการการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย การเสวนา การประชุมวางแผนเพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท. ฯลฯ โดยมีประชาชนจากเครือข่ายต่างๆ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานประมาณ 450 คน ได้รับการสนับสนุนการจัดงานจาก มทร.อีสาน จังหวัดนครราชสีมา สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ฯลฯ
นายสมพงษ์ แสงศิริ ประธานขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า วันที่อยู่อาศัยโลกปีนี้ พี่น้องขบวนองค์กรชุมชนในภาคอีสานได้ใช้พื้นที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่จัดงาน เนื่องจากขณะนี้มีชุมชนต่างๆ ในหลายจังหวัดได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางรถไฟของ รฟท. โดยที่ จ.นครราชสีมาได้มีการสำรวจข้อมูลความเดือดร้อน พบว่า มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 8 ชุมชน 1 กลุ่มบ้าน รวม 342 หลังคาเรือน โดยชุมชนเหล่านี้ได้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็น ‘เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม’ เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดิน
“การจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดขึ้นในหัวข้อ ‘การพัฒนาที่อยู่อาศัย ใส่ใจช่องว่าง ไม่ทิ้งใคร และที่ใด ไว้ข้างหลัง สานพลังการพัฒนา ที่อยู่อาศัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟ’ มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานภาคี และสถาบันการศึกษา เห็นความสำคัญของการพัฒนาที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตชุมชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง 2.เพื่อเสนอรูปธรรมและแผนการแก้ไขปัญหาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศ 3.เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และ 4.เพื่อเสนอและผลักดันนโยบาย แผนการแก้ไขปัญหาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง ตั้งแต่การบริหารสัญญาเช่าที่ดิน การออกแบบวางผังชุมชนริมราง การพัฒนาที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตชาวชุมชน” ผู้แทนขบวนองค์กรชุมชนกล่าว
ทั้งนี้โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ หนองคาย (กรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย) ระยะทาง 609 กิโลเมตร ขณะนี้กำลังก่อสร้างในช่วงนครราชสีมา โดยมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 8 ชุมชน คือ ชุมชนเลียบนคร กลุ่มประสพสุข ชุมชนข้างทางรถไฟ ชุมชนหลังจวน ชุมชนราชนิกูล 1 ชุมชนราชนิกูล 3 ชุมชนเบญจรงค์ และชุมชนทุ่งสว่าง รวม 342 หลังคาเรือน ทั้งหมดเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จ.นครราชสีมา
ขณะเดียวกันชาวชุมชนที่เดือดร้อนได้รวมตัวกันจำนวน 166 ครอบครัว เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2564 เช่น จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเป็นตัวแทน จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นการรวมคน รวมทุนแก้ไขปัญหา และขอเช่าที่ดินที่ รฟท.ไม่ได้ใช้ประโยชน์ โดย รฟท. อนุมัติให้เช่าที่ดินเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 เนื้อที่ 7 ไร่เศษ ระยะเวลา 30 ปี ค่าเช่าตารางเมตรละ 23 บาท/ปี บริเวณชุมชนบ้านพะไล ห่างจากที่อยู่อาศัยเดิมประมาณ 7 กิโลเมตร เพื่อก่อสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ เพื่อความสะดวกในการประกอบอาชีพ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป เก็บของเก่าขาย จำเป็นต้องหากินอยู่ในเมือง
โดยชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วมโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช.ให้การสนับสนุน จำนวน 166 ครอบครัว ผู้อยู่อาศัยประมาณ 300 คน ขณะนี้ผู้ที่มีความจำเป็นได้รื้อย้ายจากที่อยู่อาศัยเดิมมาอยู่บ้านพักชั่วคราว จำนวน 27 ครอบครัว โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณก่อสร้าง 486,000 บาท
ส่วนการก่อสร้างบ้านใหม่จะเริ่มในเดือนมกราคม 2566 ในที่ดินที่แบ่งปันครอบครัวละ 5×9 ตารางวา (ขนาดบ้าน 5×7 ตารางวา ชั้นเดียว) ราคาก่อสร้างประมาณหลังละ 100,000 บาท ตามแผนงานจะแล้วเสร็จในปี 2567 โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณ รวม 12,823,500 บาท ( อุดหนุนสร้างบ้านหลังละ 30,000 บาท)
“ชุมชนแห่งนี้จะเป็นตัวอย่างการแก้ไขปัญหาที่ดินการรถไฟฯ ที่เกิดจากการบรูณาการความร่วมมือในการพัฒนาระดับพื้นที่ และระดับนโยบาย เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กับการพัฒนาระบบราง และเกิดการสื่อสาร สร้างกระบวนการเรียนรู้ ความเข้าใจให้กับคนในจังหวัดนครราชสีมาและขบวนองค์รชุมชนที่เข้าร่วมงานจาก 5 ภูมิภาคทั่วทั้งประเทศ” ประธานขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดนครราชสีมากล่าว
ทั้งนี้ชุมชนในที่ดิน รฟท. ในจังหวัดนครราชสีมาที่เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงโดยเช่าที่ดิน รฟท. ประกอบด้วย ชุมชนเลียบนคร 8 ครัวเรือน กลุ่มประสพสุข 25 ครัวเรือน ชุมชนข้างทางรถไฟ 31 ครัวเรือน ชุมชนหลังจวน 12 ครัวเรือน ชุมชนราชนิกูล 1 จำนวน 23 ครัวเรือน ชุมชนราชนิกูล 3 จำนวน 18 ครัวเรือน ชุมชนเบญจรงค์ 28 ครัวเรือน และชุมชนทุ่งสว่าง
พอช.หนุนชุมชนทั่วประเทศแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย-พัฒนาคุณภาพชีวิต
นายสุพัฒน์ จันทนา ผู้อำนวยการสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ กล่าวว่า พอช. สนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีความเชื่อมั่นว่า “บ้านโดยชุมชนที่ทุกคนร่วมสร้าง” เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสังคมจากชุมชนฐานรากและสร้างความมั่นคงของมนุษย์ โดย พอช. มีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสทั้งเมืองและชนบท 5 โครงการ
คือ 1.โครงการบ้านมั่นคง 2.โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง 3.โครงการบ้านพอเพียง 4.โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั่วคราว กรณีไฟไหม้ไล่รื้อ และ 5.โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ของรัฐบาล มีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายในปี 2579
ในปี 2566 พอช.กำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในพื้นที่อย่างมียุทธศาสตร์ เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างภาค/พื้นที่ ให้เกิดการหนุนเสริมช่วยกัน โดยมีพื้นที่ขับเคลื่อนร่วมกัน คือ 1.การแก้ไขปัญหาประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางทั่วทั้งประเทศ 2.การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยภูมินิเวศชายฝั่งทะเลอันดามัน 6 จังหวัด (ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง สตูล ) 3.การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร กรุงเทพ คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ คลองสำโรง จ.สงขลา
4.การฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนแออัด/บุกรุกในกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต 5.การพัฒนาพื้นที่ชุมชนในเขตป่า อุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ในมิติชนบทที่ได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากหลายภาคส่วน โดยใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย การคิดค้นนวัตกรรม และสร้างเครื่องมือการทำงานใหม่ เช่น การสนับสนุนจากกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ (New Gen) เพื่อทำงานด้านการพัฒนาชุมชน และสถาปนิกออกแบบที่อยู่อาศัยและชุมชน
ทั้งนี้การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมทางรถไฟในจังหวัดนครราชสีมาเป็นรูปแบบการแก้ไขปัญหาตามแนวทางโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ ที่ชุมชนผู้เดือดร้อนรวมตัวกันแก้ไขปัญหา โดยมี พอช. ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันสนับสนุนการแก้ไขปัญหา ซึ่งนอกจากที่ จ.นครราชสีมาแล้ว ยังมีชุมชนริมทางรถไฟทั่วประเทศอีก 346 ชุมชนใน 35 จังหวัด ประมาณ 27,056 ครอบครัวที่อยู่ในกระบวนเตรียมการแก้ไขปัญหา
พลังคนจนเปลี่ยนแนวคิดการใช้ที่ดินรัฐ
การจัดกิจกรรมในวันนี้มีการเสวนาเรื่อง “การพัฒนาที่อยู่อาศัย บทเรียนการพัฒนา โอกาสหรือความท้าทายกับการพัฒนา ความมั่นคงที่ดินที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตเครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟ” โดยมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งจากผู้ร่วมเสวนา เช่น
นายสังเวียน นุชเทียน เครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่า ก่อนปี 2543 คนจนไม่สามารถเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ ได้โดยในปี 2539 มีข่าวว่า รฟท. จะเอาที่ดินทั่วประเทศไปให้เอกชนเช่าทำธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุน คนจนที่อยู่ในที่ดิน รฟท.จะถูกขับไล่ เราจึงเอาปัญหานี้มาคุยกัน ซึ่งก็มีทั้งชุมชนที่เข้าร่วมและไม่เข้าร่วม ใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการรวมกลุ่มเจรจา เรียกร้อง และชุมนุมกดดันที่หน้ากระทรวงคมนาคม 3 วัน จนในที่สุดบอร์ดรถไฟจึงมีมติเมื่อ 13 กันยายน 2543 เห็นชอบตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายสลัม 4 ภาคที่เจรจากับกระทรวงคมนาคม คือ
1.ชุมชนที่อยู่นอกเขตทางรถไฟ 40 เมตร หรือที่ดิน รฟท.ที่เลิกใช้ หรือยังไม่มีแผนใช้ประโยชน์ ให้ชุมชนเช่าอยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี 2.ที่ดินที่อยู่ในเขตทางรถไฟรัศมี 40 เมตรจากกึ่งกลางรางรถไฟ ชุมชนสามารถเช่าได้ครั้งละ 3 ปี และต่อสัญญาเช่าได้ครั้งละ 3 ปี หาก รฟท.จะใช้ประโยชน์จะต้องหาที่ดินรองรับในรัศมี 5 กิโลเมตร ระหว่างการเช่า รฟท.ต้องอนุญาตให้หน่วยงานต่างๆ เช่น ประปา ไฟฟ้า เข้ามาบริการชุมชนได้ ส่วนชุมชนจะต้องร่วมมือกับ รฟท.ในการจัดการสภาพพื้นที่ให้เรียบร้อย
3.กรณีชุมชนอยู่ในที่ดิน รฟท.รัศมี 20 เมตร หาก รฟท.เห็นว่าไม่เหมาะสมในการให้เช่าเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาวให้ รฟท.จัดหาที่ดินรองรับในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากชุมชนเดิม 4.ให้ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค มีส่วนร่างสัญญาและกำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินร่วมกับ รฟท. ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรม
“ประเด็นสำคัญคือ ถ้าพี่น้องไม่ลุกขึ้นสู้ก็จะไม่ได้มติบอร์ดรถไฟ ทำให้พี่น้อง 61 ชุมชนที่ร่วมกันต่อสู้ได้เช่าที่ดิน 30 ปี” นายสังเวียนกล่าว
นายอัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่า บทเรียนสำคัญของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ในการต่อสู้เรื่องที่ดินที่อยู่อาศัยในที่ดิน รฟท. ก็คือการเปลี่ยนหลักคิดการใช้ที่ดินของรัฐ จากเดิมที่สังคมมองว่า “คนจนเป็นผู้บุกรุกที่ดินต้องถูกขับไล่ออกไป เป็นคนจนเป็นผู้บุกเบิกที่ดิน และมีสิทธิในการอยู่อาศัยและพัฒนาเมือง” ซึ่งการที่บอร์ดรถไฟมีมติเมื่อ 13กันยายน 2543 เห็นชอบให้ชาวบ้าน 61 ชุมชนเช่าที่ดินกับ รฟท.ได้ ถือเป็นชัยชนะของพี่น้องทุกคนที่สามารถเปลี่ยนแนวคิดนี้ได้ เพราะแต่เดิมที่ดินรถไฟจะต้องใช้วิธียื่นซองประมูล แต่การต่อสู้ของพี่น้องทำให้เช่าที่ดิน รฟท.ได้ในราคาตารางเมตรละ 20 บาทต่อปี
“ที่สำคัญก็คือ การเปลี่ยนหลักคิดเรื่องการใช้ที่ดินของรัฐที่ไม่ควรมองเฉพาะเรื่องผลกำไร แต่ต้องมองเรื่องสิทธิทางสังคม สิทธิในการอยู่อาศัยของคนจน สิทธิที่จะอยู่อาศัยในเมืองและพัฒนาเมือง ซึ่งถือเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากพลังของพี่น้องที่ร่วมกันต่อสู้ กดดัน ชุมนุม จนได้มติบอร์ดรถไฟออกมา จนได้เช่าที่ดินระยะยาว” ที่ปรึกษาสลัม 4 ภาคกล่าว
เขาบอกด้วยว่า แม้จะได้สัญญาเช่าที่ดินแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบัน รฟท.มีโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน อาจทำให้ชุมชนต่างๆ ได้รับผลกระทบ ดังนั้นพี่น้องจะต้องมีการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย เป็นขบวนการ จะได้มีพลังในการต่อสู้เรียกร้อง
เครือข่ายริมรางรถไฟ 5 ภาคเตรียมเคลื่อนขบวน
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินที่อยู่อาศัยของชุมชนริมทางรถไฟทั่วประเทศในช่วงที่ผ่านมานั้น เครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟ เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้ร่วมเคลื่อนไหวผ่านทาง ‘ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม’ (P-Move) โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ P-Move ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดย ครม.เห็นชอบให้ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาตามมติบอร์ด รฟท. 13 กันยายน 2543 และมอบหมายหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดทำแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง โดยให้พิจารณาช่วยเหลืองบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยเทียบเท่ากับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว
นายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช. กล่าวว่า พอช. ร่วมกับภาคีเครือข่ายสำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยในที่ดิน รฟท. รวมทั้งได้มีการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลกับ รฟท. และจัดทำโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง โดยมีแผนการดำเนินงานในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) มีเป้าหมายดำเนินการครอบคลุมครัวเรือนผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 27,096 ครัวเรือน วงเงินรวม 9,478 ล้านบาทเศษ
โดยที่ผ่านมาได้เสนอ รมว.พม.ลงนามเห็นชอบ และเสนอสภาพัฒน์ซึ่งได้เห็นชอบแล้วเช่นกัน และอยู่ในระหว่างการเสนอความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ รวมทั้งการเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดวงเงินช่วยเหลือที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านมั่นคง ครัวเรือนละ 89,000 บาท เพิ่มอีกครัวเรือนละ 80,000 บาท เพื่อให้เท่ากับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวตามมติ ครม.
นายอัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวเสริมว่า ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.นั้น เนื่องจากเดิมการเช่าที่ดิน รฟท.ตามมติบอร์ด รฟท. 13 กันยายน 2543 มีชุมชนที่เช่าที่ดิน รฟท. 61 ชุมชน แต่ปัจจุบัน รฟท.มีโครงการพัฒนาระบบรางเพิ่มขึ้น จำนวนผู้เดือดร้อนจากการสำรวจทั่วประเทศปัจจุบันมี 346 ชุมชน รวมกว่า 27,000 ครอบครัว จึงต้องนำเสนอข้อมูลผู้เดือดร้อนให้บอร์ด รฟท.รับรองก่อนนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ซึ่งคาดว่าบอร์ด รฟท.จะพิจารณาเรื่องนี้ได้ในช่วงต้นปี 2566
รวมทั้งงบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ขออนุมัติเพิ่มเติมจาก 89,000 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มอีก 80,000 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งหาก ครม. และสำนักงบประมาณมีมติเห็นชอบ ทางเครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟทั้ง 5 ภาคที่มีความพร้อมก็จะเริ่มแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยได้ภายในปี 2566 เช่น ขอเช่าที่ดิน รฟท.ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือจัดหาที่ดินแปลงใหม่ ฯลฯ ส่วนรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยก็จะเป็นไปตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ แต่ละชุมชน โดยใช้งบประมาณสนับสนุนจาก พอช. และการสมทบจากชาวชุมชน