รัฐบาลเดินหน้าเตรียมแผนแก้น้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง-กรุงเทพฯ ให้กรมชลฯ ขุดคลองระบายน้ำลงทะเล เริ่มปี 2567-2572 ใช้งบกว่า 1 แสนลบ. ด้าน พอช.เตรียมแผนรองรับที่อยู่อาศัยชาวชุมชนริมคลอง 8 พันหลัง
กรุงเทพฯ / ‘ประวิตร’ รองนายกฯ เป็นประธานเปิดประชุมออนไลน์ ‘คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ’ ครั้งที่ 2/2565 ที่ประชุมเห็นชอบการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง–กรุงเทพฯ โดยมี 2 โครงการใหญ่ ให้กรมชลประทานขุดลอกคลอง–ขยายคลอง เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง และฝั่งตะวันตก รวม 47 คลอง เริ่มดำเนินการในปี 2567-2572 ใช้งบประมาณรวม 115,000 ล้านบาท ขณะที่ พอช.ได้รับมอบหมายให้จัดทำแผนรองรับที่อยู่อาศัยประชาชนที่จะได้รับผลกระทบประมาณ 8 ,000 ครัวเรือน
ปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง จากจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพฯ เกิดซ้ำซากแทบทุกปี ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการระบายน้ำลงสู่ทะเลอ่าวไทยผ่านแม่น้ำและลำคลองต่างๆ มีอุปสรรค เช่น มีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางไหลของน้ำ ลำคลองคับแคบ ตื้นเขิน ฯลฯ สร้างความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นมูลค่ามหาศาล รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงดำเนินการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดวันนี้ (15 ธันวาคม) เวลา 9.30 น. มีการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2565 ผ่านสื่อออนไลน์ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ เป็นประธานการประชุม มีผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เช่น คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ มูลนิธิอุทกพัฒน์ กระทรวงมหาดไทย กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ฯลฯ
เตรียม 2 โครงการใหญ่แก้น้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง
การประชุมครั้งนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบ 2 โครงการใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง คือ 1. โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง 2.โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ทั้ง 2 โครงการดำเนินการโดยกรมชลประทาน
โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำจากเดิม 210 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เพิ่มเป็น 400 ลบ.ม / วินาที โดยจะดำเนินการ 1.ปรับปรุงโครงข่ายคลองชลประทานเดิม จำนวน 26 คลอง ความยาวรวม 490 กิโลเมตร 2. ก่อสร้าง /ปรับปรุงอาคารบังคับน้ำ 14 อาคาร งานปรับปรุงสถานีสูบน้ำ 2 อาคาร ระยะเวลาโครงการ 6 ปี (พ.ศ. 2567 – 2572 ) วงเงินค่าก่อสร้าง 64,000 ล้านบาท
ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. เพิ่มอัตราการระบายน้ำจากเดิม 210 ลบ.ม. เป็น 400 ลบ.ม./วินาที 2. มีแหล่งเก็บกักน้ำในคลองช่วงฤดูแล้ง 18 ล้าน ลบ.ม./ปี 3. สามารถช่วยบรรเทาอุทกภัยหรือลดมูลค่าความเสียหายรวมจากอุทกภัยเฉลี่ยปีละ 5,085 ล้านบาท
ส่วนคลองที่จะมีการปรับปรุง โดยการขุดลอกคลอง ขยายแนวคลองที่มีสิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนรุกล้ำคลอง เช่น คลองระพีพัฒน์ คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองหาวาสายล่าง ในเขตจังหวัดปทุมธานี, คลองบางขนาก คลองพระองค์ไชยานุชิต คลองนครเนื่องเขต คลองประเวศบุรีรมย์ ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา-กรุงเทพฯ, คลองด่าน คลองสำโรง และคลองสาขา ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ฯลฯ เพื่อระบายน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาตะวันออกตอนล่างลงสู่คลองต่างๆ และไหลเข้าสู่แม่น้ำบางปะกงออกสู่ทะเลอ่าวไทย
โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก มีเป้าหมายเพื่อระบายน้ำในแนวเหนือ-ใต้ ตั้งแต่คลองเจ้าเจ็ด จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อเนื่องไปออกสู่ทะเลอ่าวไทยให้ได้มากที่สุด เพื่อลดภาระการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา
ผลประโยชน์ที่จะได้รับ 1.ช่วยระบายน้ำท่วมในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน จนถึงชายทะเลอ่าวไทย (2) สามารถรองรับปริมาณน้ำหลากตอนบนของพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และช่วยลดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่โครงการ (3) เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำในแก้มลิงคลองมหาชัย-คลองสนามชัย เพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง
ตามแผนงานจะมีดำเนินการ เช่น 1.ปรับปรุง/ขุดลอกคลองเดิม พร้อมอาคารบังคับน้ำ ความยาว 300 กม. 2. ขุดคลองใหม่ 1 สาย (คลองร่วมถนน) 3. อุโมงค์ระบายน้ำจำนวน 4 แห่ง 4.ปรับปรุงแนวคันแก้มลิงคลองมหาชัย–คลองสนามชัย ความยาว 42 กม.เศษ 5. ปรับปรุง/ขุดลอกคลองมหาชัย จ.สมุทรสาคร ความยาว 19 กม.เศษ ฯลฯ ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (พ.ศ. 2568 – 2571) งบประมาณโครงการ 51,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ทั้ง 2 โครงการซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำเห็นชอบในหลักการนี้จะต้องนำเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาต่อไป
พอช.เตรียมแผนรองรับที่อยู่อาศัยประชาชน 8 พันหลัง
นายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ในฐานะผู้แทน พอช.ที่เข้าร่วมประชุม กล่าวว่า เนื่องจากโครงการปรับปรุงระบบชลประทานเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างและกรุงเทพมหานครทั้ง 2 โครงการนี้ จะมีการขุดลอกคลองและปรับปรุงคลองต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีสิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนปลูกรุกล้ำคลองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำนวนมาก
“ที่ประชุมโดยฝ่ายเลขานุการได้เสนอให้ พอช.ในฐานะที่มีผลงานการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร กรุงเทพฯ พิจารณาเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2567 ในการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำเขตคลองชลประทานเพื่อให้กรมชลประทาน สามารถเข้าดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อไป” ผช.ผอ.พอช. กล่าว
นายสยามกล่าวว่า จากการสำรวจเบื้องต้นของกรมชลประทาน พบว่า โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง ตั้งแต่คลองระพีพัฒน์ คลองรังสิตประยูรศักดิ์ จ.ปทุมธานี, คลองระพีพัฒน์ คลองรังสิตประยูรศักดิ์ จ.ฉะเชิงเทรา และคลองด่าน คลองสำโรง จ.สมุทรปราการ จะมีผู้ได้รับผลกระทบ ที่ต้องย้ายออกจากแนวคลอง จำนวน 5,251 หลัง (อยู่ในเขตที่จะก่อสร้างจำนวน 2.109 หลัง) มีคลองที่เกี่ยวข้องจำนวน 25 คลอง
ส่วนโครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก จะมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 2,752 หลัง (อยู่ในเขตที่จะก่อสร้างจำนวน 1.559 หลัง) มีคลองที่เกี่ยวข้อง 22 คลอง รวมทั้ง 2 โครงการจะมีผู้ได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัยจำนวน 8,003 หลัง
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารกรมชลประทานกับ พอช. ในประเด็นแนวทางการจัดหาที่อยู่อาศัยทดแทนให้แก่ประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการรุกล้ำคลอง โดยที่ประชุมมีแนวทางในดำเนินงานต่างๆ เช่น 1.การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างหน่วยงาน 2.จัดตั้งกรรมการระดับท้องถิ่น (พื้นที่ที่ปรับปรุงคลอง) 3.สำรวจข้อมูลผู้บุกรุกให้เป็นปัจจุบัน เช่น จำนวนครัวเรือน ผู้อยู่อาศัย
4.ยกร่างแผนงานรองรับที่อยู่อาศัย 5.กำหนดรูปแบบแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น รื้อย้ายบ้านเรือนที่รุกล้ำคลอง เพื่อก่อสร้างใหม่ในที่ดินเดิมหรือใกล้เคียง กรณีอยู่อาศัยในที่ดินเดิมไม่ได้ อาจหาที่ดินใหม่รองรับ หรือชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 6.เสนอโครงการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยมีกรอบเวลาดำเนินการในช่วงปี 2566-2568
“การรองรับที่อยู่อาศัยประชาชนทั้ง 2 โครงการนี้ เบื้องต้น พอช.มีแนวทางพัฒนาที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร คือจะให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการจากชุมชนขึ้นมาดำเนินการ เพื่อสำรวจข้อมูล ปัญหา ความต้องการ ร่วมกันออกแบบบ้าน ผังชุมชน จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนสร้างบ้าน โดย พอช.และหน่วยงานภาคีจะร่วมกันสนับสนุน และทำงานกันแบบบูรณาการ เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีที่อยู่อาศัยใหม่ที่มั่นคง ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมชาวชุมชนให้ดีด้วย” นายสยาม ผช.ผอ.พอช. กล่าว
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)