10 ปี ‘สมบัด’ ที่หายไป กับภาพสะท้อนปัญหาสิทธิมนุษยชนในระดับอาเซียน

10 ปี ‘สมบัด’ ที่หายไป กับภาพสะท้อนปัญหาสิทธิมนุษยชนในระดับอาเซียน

วันที่ 15 ธันวาคม 2565 นี้ถือเป็นวันครบรอบ 10 ปี การหายตัวไปของ “สมบัด สมพอน” หรือ อ้ายสมบัด นักพัฒนาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวลาว เจ้าของรางวัลรามอน แมกไซไซ ด้านการบริการสังคม ปี 2548 ที่หายตัวไปจากสำนักงานปาแดกในกรุงเวียงจันทร์

จนถึงวันนี้การหายตัวไปของสมบัด สมพอน ยังคงเป็นปริศนา ไม่รู้ชะตากรรม มีเพียงความทรงจำ ความหวัง และความคิดถึงของครอบครัวกับคนใกล้ชิดที่ยังคงรอคอยให้สมบัดกลับมา 

เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ได้มีการแถลงข่าววาระ 10 ปี การบังคับสูญหายของสมบัด สมพอน  ซึ่งมีทั้งครอบครัว และผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติร่วมแถลงความคืบหน้าการตามหาตัวเขา และเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 

ซึ่งภายในงานแถลงข่าว ผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ ได้กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลลาวเพิ่มความพยายามในการสอบสวนการสูญหายกรณีของสมบัด สมพอน รวมไปถึงคดีอื่น ๆ เพื่อนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการชดเชยเยียวยาเหยื่อและครอบครัวของผู้สูญหาย โดยย้ำว่า การบังคับให้สูญหายถือเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ 

10 ปีที่ผ่านมา กับความคืบหน้าในการตามหา ‘สมบัด สมพอน’ 

นับจากเวลา 18.00 น. ของวันที่ 15 ธันวาคม 2555  ที่สมบัดหายตัวไป จนถึงวันนี้ อึ้ง ชุย เม็ง ภรรยาชาวสิงคโปร์ของสมบัด สมพอน กล่าวว่า ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เกี่ยวกับคดีของสมบัด ที่ผ่านมาได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ทางฝั่งลาวแค่เพียงว่า ยังคงเสาะหาอยู่ ยังไม่มีข้อมูลอะไรชัดเจน

ทำให้ทุก ๆ ปี เธอจะมาจัดงานระลึกถึงสมบัด สมพอน ที่ประเทศไทย เพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักถึงการหายตัวไปของนายสมบัด เพราะมองว่า การอุ้มหายถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ที่ไม่ควรมีใครต้องถูกกระทำเช่นนี้อีก จึงต้องส่งเสียงให้คนในสังคมได้รับรู้ถึงกรณีการหายตัวไปของสามีตัวเอง

“จนถึงวันนี้ยังคงมีความหวัง อยากให้สมบัดกลับมาสู่ครอบครัว กลับมากินข้าวด้วยกัน ใช้ชีวิตอย่างธรรมดากับครอบครัว ถึงแม้จะผ่านมา 10 ปี ก็ยังคงคาดหวังอยู่ตลอดเวลา” อึ้ง ชุย เม็ง ภรรยาของสมบัด สมพอน

‘บังคับสูญหาย’ ภาพสะท้อนปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในอาเซียน

ด้าน อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการบังคับสูญหาย (WGEID) และอดีตกรรมาธิการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หนึ่งในผู้ร่วมเวที กล่าวถึงกรณีของการบังคับสูญหายของสมบัด สมพอน ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเรื่องของสิทธิมนุษยชนในอาเซียนว่า 10 ปีที่ผ่านมา กรณีการสูญหายของสมบัด นอกจากการไม่รู้ความจริง ไม่รู้ชะตากรรมของผู้สูญหาย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ผลกระทบทางด้านจิตใจของเหยื่อและครอบครัว ซึ่งนับวันก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ซึ่งปัจจุบันคณะทำงานคนหายของสหประชาชาติได้รับเรื่องเกี่ยวกับคนหายในเอเชีย มากกว่า 36,000 เรื่อง ในจำนวนนี้มีคดีเกี่ยวกับผู้หญิงที่หายไปกว่า 3,000 กรณี ทั้งหมดทางคณะทำงานได้ติดตามส่งคำถามไปยังประเทศต้นทาง แต่น่าเสียดายที่เราไม่ค่อยได้รับทราบการติดตามตรวจสอบ หรือการสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพจากประเทศต่าง ๆ 

อย่างในประเทศลาว เท่าที่ได้รับทราบมา สำหรับคนที่สูญหายตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด 6 กรณี ประเทศกัมพูชามีอยู่ 3 กรณี และประเทศไทยมีอยู่ 76 กรณี  ซึ่งคณะทำงานเองเชื่อว่า จำนวนที่แท้จริงน่าจะมีมากกว่านั้น และตัวเลขที่ได้รับทั้งหมดก็น่าจะเป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น 

ที่น่าเป็นห่วง คือ พบว่ามีจำนวนน้อยคนมาก ที่หายไปนานหลายปี แล้วจะกลับมาในสภาพของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่าคนที่หายไปจะกลับมาในสภาพใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้มีค่ามากสำหรับครอบครัว เนื่องจากว่า เวลาที่รู้ชะตากรรมจะทำให้จัดการทรัพย์สินและจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ 

สิ่งที่สำคัญสำหรับครอบครัวของผู้สูญหาย คือ เรื่องของสิทธิและการเยียวยาที่เขาพึงจะได้รับ เช่น สิทธิที่จะได้รับทราบความจริง และการเยียวยาบรรเทาความทุกข์ ซึ่งจะมีทั้งแบบที่คิดเป็นค่าสินไหมทดแทน กับการเยียวยาแบบที่ไม่ใช่ค่าสินไหม เช่น การเยียวยาด้านความยุติธรรม การเยียวยาฟื้นฟูทางด้านจิตใจ การชดใช้ในสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นต้น 

สำหรับการช่วยเหลือติดตามชะตากรรมผู้สูญหายที่ผ่านมาคณะทำงานได้ส่งคำร้องขอที่จะเข้าไปเยี่ยมอย่างเป็นทางการ รวมถึงประเทศลาวและประเทศไทยด้วย ซึ่งประเทศลาวเราส่งคำร้องอย่างเป็นทางการไป เมื่อปี 2013 เนื่องจากการเข้าไปเยือนอย่างเป็นทางการจะทำให้คณะทำงานได้พบกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้เสียหาย และชุมชน เพื่อที่คณะทำงานจะได้ให้ความช่วยเหลือ เทคนิคต่าง ๆ ทั้งด้านองค์ความรู้ ข้อเสนอแนะ คำแนะนำต่าง ๆ 

แต่ก็น่าเสียดายว่า เรายังไม่ได้รับการตอบรับอย่างเป็นทางการ ทั้งจากรัฐบาลลาวเอง และหลาย ๆ รัฐบาลในอาเซียน ซึ่งประเทศในอาเซียน มีเพียงประเทศเดียวที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาคนหายของสหประชาชาติก็คือ ประเทศกัมพูชา ประเทศอื่นยังไม่ได้ให้สัตยาบัน ทางคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการบังคับสูญหายจึงเรียกร้องมาโดยตลอด ว่า ประเทศอาเซียนควรจะรีบเร่งให้สัตยาบันอนุสัญญาคนหายของสหประชาชาติ เพื่อเป็นการยืนยันรับรองข้อตกลงระหว่างประเทศที่เคยทำสนธิสัญญาไว้ให้มีความถูกต้องสมบูรณ์

การบังคับสูญหาย สู่การคุกคามครอบครัว ข้อสังเกตของคณะทำงานสหประชาชาติ

อังคณา กล่าวด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่คณะทำงานกังวลมาโดยตลอดก็คือ การที่ครอบครัวและภาคประชาสังคมที่สนับสุนนครอบครัวของคนหายแทบทุกประเทศรู้สึกไม่ปลอดภัย 

ทางคณะทำงานได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องของการคุกคาม การแก้แค้น หรือการคุมคามในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงการคุกคามบนโลกออนไลน์กับครอบครัวของผู้สูญหายด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งให้ครอบครัว เหยื่อ และคนที่ทำงานกับพวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย และไม่สามารถนำเรื่องร้องเรียนมาถึงคณะทำงานของสหประชาชาติได้ 

จึงหวังว่าทุกประเทศในอาเซียนจะเปิดใจเคารพเสรีภาพแสดงความคิดเห็นของประชาชน เราเชื่อมั่นความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ  กับคณะทำงานจะส่งผลสัมพันธ์กับการคุ้มครองพลเมืองประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ซึ่งคณะทำงานพร้อมในการร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป


ทั้งนี้ ภายในงานแถลงข่าวมีการเผยแพร่แถลงการณ์สหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล FIDH (International Federation for Human Rights) รายละเอียด ดังนี้

แถลงการณ์ สหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล 
(International Federation for Human Rights) 

ก่อนวันครบรอบ 10 ปีของการหายตัวไปของสมบัด สมพอน ผู้นำภาคประชาสังคมของลาว เราซึ่งเป็นองค์กรและบุคคลภาคประชาสังคมที่ลงนามข้างท้ายนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลลาวตัดสินชะตากรรมและที่อยู่ของเขาอีกครั้ง และมอบความยุติธรรม ความจริง และการชดเชยให้กับ ครอบครัวของเขา. เราเสียใจที่ทางการลาวล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการดำเนินการตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนในการสอบสวนการหายตัวไปของสมบัดอย่างละเอียดถี่ถ้วน และให้การชดใช้ที่เพียงพอ มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วแก่สมบัดและครอบครัวในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ตั้งแต่สมบัด ผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาชุมชนและการเสริมสร้างพลังอำนาจของเยาวชน ถูกลักพาตัวไปจากถนนที่พลุกพล่านในเวียงจันทน์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2555 ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (UN) หลายแห่งและกลไกตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหายและ เรียกร้องให้รัฐบาลลาวดำเนินการสอบสวนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและอาชญากรรมอย่างร้ายแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ 3 คนเรียกร้องให้ทางการลาว “เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้าของการสอบสวน [การ] โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวของเขา” และขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อระบุชะตากรรมของสมบัดและที่อยู่ [1]

ในระหว่างการประชุม Universal Periodic Review (UPR) ซึ่งตรวจสอบการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของลาวในปี 2558 และ 2563 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมด 11 ประเทศได้เสนอข้อเสนอแนะ 15 ข้อที่เรียกร้องให้รัฐบาลลาวสอบสวนการหายตัวไปของสมบัด [2]

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 หลังจากการตรวจสอบรายงานเบื้องต้นของลาวภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติรู้สึกเสียใจที่ “ข้อมูลที่เกี่ยวข้องไม่เพียงพอ” ที่รัฐบาลให้ไว้เกี่ยวกับการสืบสวนคดีของสมบัด และ เรียกร้องให้รัฐบาล “เพิ่มความพยายามในการสอบสวนอย่างละเอียด น่าเชื่อถือ เป็นกลาง และโปร่งใส” ต่อการถูกบังคับให้สูญหายของเขา [3]

หลังการเยือนลาวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2562 ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติในเรื่องความยากจนขั้นรุนแรงและสิทธิมนุษยชน ฟิลิป อัลสตัน เรียกร้องให้รัฐบาล “อนุญาตให้มีการสอบสวนอย่างมีความหมายในที่สุด” ต่อการหายตัวไปของสมบัด [4]

กระบวนการพิเศษสี่ประการของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ส่งการสื่อสารสามครั้งไปยังรัฐบาลลาวเพื่อเรียกร้องให้มีข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมและที่อยู่ของสมบัด และเกี่ยวกับการสืบสวนใด ๆ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับให้สูญหายของเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2564 [5]

น่าเสียใจที่การตอบสนองของรัฐบาลลาวต่อการแสดงความกังวลอย่างลึกล้ำของประชาคมระหว่างประเทศนั้นมีลักษณะที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีการดำเนินการ ความเพิกเฉย การปกปิด และถ้อยแถลงที่ทำให้เข้าใจผิด และการขาดเจตจำนงทางการเมืองโดยรวมที่จะจัดการกับการบังคับสูญหายของสมบัดอย่างมีประสิทธิภาพ

ทางการลาวล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศในการสอบสวนการหายตัวไปของสมบัด และนำผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนรับผิดชอบทางอาญาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมต่อหน้าศาลพลเรือนทั่วไป รวมถึงภายใต้ ICCPR และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการทารุณกรรมอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ การปฏิบัติหรือการลงโทษที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งลาวเป็นรัฐภาคี ในขณะที่ลาวยังไม่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ (ICPPED) ซึ่งลงนามในปี 2551 ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศมีข้อผูกมัดที่จะต้องไม่ทำลายวัตถุประสงค์และวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญา

ผลกระทบของการบังคับสูญหายต่อญาติของผู้สูญหายมักก่อให้เกิดการทรมาน คณะทำงานของสหประชาชาติว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับและโดยไม่สมัครใจได้รับทราบว่าการปฏิเสธอย่างเป็นทางการต่อข้อมูลแก่ญาติของผู้สูญหายเกี่ยวกับความจริงของชะตากรรมของพวกเขาและที่อยู่ของพวกเขา ยิ่งทำให้ญาติสูญหายด้วยการ “ทรมานอย่างต่อเนื่อง” นอกจากนี้ ICPPED ยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแน่ใจว่าสมาชิกในครอบครัวได้รับแจ้งเกี่ยวกับความคืบหน้าและผลลัพธ์ของมาตรการที่เหมาะสมทั้งหมดที่ทางการมีหน้าที่ในการค้นหา ระบุตำแหน่ง และปล่อยตัวผู้ที่หายตัวไป

ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2555 ทางการลาวได้พบกับ Shui Meng Ng ภรรยาของสมบัดเพียง 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม 2560 เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ข้อมูลอัปเดตใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของสามีของเธอตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าเธอจะร้องขอซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำกล่าวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายของรัฐบาลเกี่ยวกับคดีของสมบัดมีขึ้นระหว่าง UPR ครั้งที่ 3 ของลาวในเดือนกันยายน 2563 เมื่อตัวแทนรัฐบาลกล่าวเพียงว่าการค้นหาสมบัดเป็น “หน้าที่ของรัฐบาลลาว”

ตอนนี้ เรายืนหยัดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับครอบครัวของสมบัดและเหยื่อรายอื่นๆ ของการบังคับสูญหายในลาวมากกว่าที่เคย เราขอย้ำถึงการเรียกร้องให้ทางการลาวระบุชะตากรรมหรือที่อยู่ของเหยื่อทั้งหมดของการบังคับสูญหายในลาว ระบุตัวผู้กระทำผิดในอาชญากรรมร้ายแรงดังกล่าว และให้การเยียวยาที่มีประสิทธิภาพและการชดใช้ค่าเสียหายอย่างเต็มที่แก่เหยื่อ เรายังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกระบวนการให้สัตยาบัน ICPPED โดยไม่รั้งรอ

ที่มา : https://www.fidh.org/en/region/asia/laos/laos-after-10-years-civil-society-worldwide-is-still-asking-where-is

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ