นิด้า / ‘นิด้า’ จับมือ ‘พอช.’ และ ‘เครือข่ายองค์กรชุมชน’ ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ “การเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง” ระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติการ การศึกษาวิจัยด้านการบริหารการพัฒนาร่วมกันระหว่าง 3 ฝ่าย นำไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน สังคม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว
วันนี้ (13 ธันวาคม) ระหว่างเวลา 13.00-16.00 น. ที่ห้องประชุมอาคารนราธิปพงศ์ประพันธ์ สถาบันพัฒนบัณฑิตบริหารศาสตร์ (นิด้า) เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างสถาบันพัฒนบัณฑิตบริหารศาสตร์กับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และเครือข่ายองค์กรชุมชน โดยมีผู้บริหารของ 2 สถาบันและผู้แทนเครือข่ายองค์กรชุมชนร่วมลงนาม ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ กุสุมาวลี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและกิจการนานาชาติ สถาบันพัฒนบัณฑิตบริหารศาสตร์ นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ นายจินดา บุญจันทร์ ผู้แทนคณะประสานงานองค์กรชุมชน และมีผู้แทนองค์กรชุมชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธีลงนามประมาณ 80 คน
ผสานพลังภาคี ‘นิด้า-พอช.-เครือข่ายองค์กรชุมชน
รศ.ดร.สมบัติ กุสุมาวลี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและกิจการนานาชาติ สถาบันพัฒนบัณฑิตบริหารศาสตร์ (National Institute of Development Administration = NIDA) กล่าวว่า สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์มีภาระหน้าที่หลักด้านการจัดการศึกษา ด้านการวิจัย และด้านการบริการวิชาการ และมีสมรรถนะหลักด้านการพัฒนาที่ตอบสนองต่อการพัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ดังนั้นทางสถาบันฯ จึงมีความมั่นใจที่จะให้การสนับสนุนทางวิชาการร่วมกับศึกษาวิจัยในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน องค์กรชุมชน และร่วมขับเคลื่อนในการนำผลการศึกษาวิจัยไปสู่การปฏิบัติ โดยใช้พื้นที่ของชุมชนเป็นพื้นที่เป้าหมาย พัฒนาเป็นแนวทางและแบบอย่างในการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชมุชน (องค์การมหาชน) และเครือข่ายองค์กรชุมชนในภารกิจต่างๆ ตามแนวทางการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการฉบับนี้ เพื่อประโยชน์แห่งการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนระยะยาวสำหรับทั้งคนรุ่นปัจจุบันไปจนถึงคนรุ่นใหม่ที่จะต้องมาสืบทอดต่อไป
“การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ และเครือข่ายองค์กรชุมชนที่จะร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือทางวิชการตอบสนองทิศความต้องการทิศทางของการพัฒนา และเกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสามฝ่าย ด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือการพัฒนาที่ยั่งยืน” รศ.ดร.สมบัติกล่าว
นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ ‘พอช.’ กล่าวว่า พอช. ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้พื้นฐานปรัชญาเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่หนุนเสริมขบวนองค์กรชุมชนและประชาสังคมให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตผู้คนให้มีความเป็นอยู่ที่มั่นคง ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดย พอช. ยึดหลักการพัฒนาโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง
ดังจะได้เห็นว่างานของ พอช.มีขบวนองค์กรชุมชนอยู่เกือบเต็มพื้นที่ของประเทศไทย เช่น สภาองค์กรชุมชน 7,801 ตำบล หรือ 99.65% ของตำบลในประเทศไทย มีระบบสวัสดิการชุมชน 5,500 กองทุน เป็นสวัสดิการชุมชนที่ดูแลสมาชิก 6 ล้านกว่าคน และเพื่อนๆ ร่วมตำบลที่ไม่ใช่สมาชิก ด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน มีโครงการบ้านมั่นคง บ้านพอเพียง การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง บ้านของผู้ยากไร้ หรือคนไร้บ้าน การพัฒนาเศรษฐกิจกิจและทุนชุมชนที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งในการดำเนินงาน ซึ่งการขับเคลื่อนงานนั้น ผู้นำองค์กรชุมชนถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้น พอช. จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพผู้นำองค์กรชุมชน ให้สามารถเป็นแกนนำไปร่วมทำงานกับหน่วยงานของรัฐ ภาคีการพัฒนาอื่นๆ ทั้งภาควิชาการ และภาคธุรกิจเอกชนได้
“การพัฒนาโดยการสร้างสานพลังความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ นี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่สำคัญของผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ คือ ‘อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม’ ที่ท่านใช้คำว่า ‘ขับเคลื่อนโดยใช้จตุพลัง’ เพราะฉะนั้น พอช.ต้องทำหน้าที่ในการที่จะเชื่อมร้อยพลังต่างๆ เช่น ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ภาควิชาการ เพื่อร้อยเรียงการทำงานเข้าหากัน
ประเด็นต่อมาก็คือ การนำเทคโนโลยีและวิชาการเข้าสู่กระบวนการในการบริหารจัดการ นี้คือ 4 ประเด็นหลักที่นำไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาพื้นที่ที่มุ่งเน้นความสำคัญเรื่องของชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง เราเชื่อว่าชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งเป็นทางรอดของประเทศไทย ดังวิสัยทัศน์ของ พอช. ในปี 2579 คือ ‘ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งทั่วทั้งแผ่นดิน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามุ่งหวังและคาดหวังจะให้เกิดขึ้นด้วยกลไกกระบวนการการทำงานที่เป็นความร่วมไม้ร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ” ผอ.พอช. กล่าว
นายจินดา บุญจันทร์ ผู้แทนคณะประสานงานองค์กรชุมชน (เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน) กล่าวว่า เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน เป็นเครือข่ายองค์กรชุมชนที่มีความเชื่อมั่นว่าสังคมจะเปลี่ยนไปสู่สังคมที่ดีได้ ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนความสัมพันธ์ใหม่จากรากของสังคม ซึ่งความหมายตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ก็คือ ฐานรากของสังคมก็คือองค์กรชุมชนระดับเล็กๆ ในพื้นที่ที่ค่อยๆ ขยับจากที่เมื่อก่อนถูกบริหารให้เป็นผู้ที่ถูกปกครอง ขยับมาเป็นผู้มีส่วนร่วม แล้วค่อยๆ มีพลังในการที่จะจัดการชุมชนด้วยตัวเอง โดยวิถีวัฒนธรรมของชุมชน
นอกจากนี้เครือข่ายองค์กรชุมชนไม่ได้ทำงานร่วมเฉพาะกับ พอช. แต่เป็นเครือข่ายองค์กรชุมชนที่ผนึกกำลังกับคนอื่นด้วย ทำทุกเรื่องด้วย แต่เนื่องจากพื้นที่มันกว้างใหญ่เครือข่ายองค์กรชุมชน ใครๆ ก็เป็นเครือข่ายองค์กรชุมชนได้ เพราะฉะนั้นการจัดองค์กรจะไม่ใช่รูปแบบที่บริหารแบบมีผู้นำ แบบการจัดการที่เข้มงวด ไม่ใช่ระบบทหารที่สั่งหันซ้ายหันขวาได้ ขบวนองค์กรชุมชนก็แตกต่างกัน เช่น เครือข่ายองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง เครือข่ายองค์กรชุมชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เครือข่ายชุมชนอันดามัน ฯลฯ ตามวิถีวัฒนธรรม และตามภารกิจที่ทำ
“เพราะฉะนั้นความคาดหวังอันแรกในเวทีวันนี้ก็คือ ถ้าใช้ความรู้โดยเหตุโดยผลและด้วยข้อมูลที่ขบวนองค์กรชุมชนมีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะไปแก้ปัญหาของตัวเอง รวมทั้งการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ภาควิชาการน่าจะมีพลังสามารถเสริมพลังของขบวนองค์กรชุมชนได้ เพราะขบวนองค์กรชุมชนโดยภาพก็คือเป็นอาสาสมัคร ไม่ได้มาทำงานพัฒนาโดยตรง” นายจินดากล่าวถึงความคาดหวังจากการร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการในวันนี้
ใช้ความรู้ทางวิชาการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชน และสังคมฐานรากให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางวิชาการสู่การปฏิบัติ 2.เพื่อร่วมผลักดันข้อเสนอจากการปฏิบัติจริงของพื้นที่สู่สาธารณะ และส่งเสริมให้การทำงานด้านการพัฒนาชุมชนมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน 3.เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ การเรียนการสอน การฝึกอบรม การศึกษาวิจัย และการบริการวิชาการสู่การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง และ 4.เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องของทั้งสามฝ่าย ในด้านการพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น ฯลฯ
โดยมีแนวทางการดำเนินงานร่วมกันคือ 1.ร่วมกันศึกษาวิจัยในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน และขับเคลื่อนในการนำผลการศึกษาวิจัยไปสู่การปฏิบัติ โดยใช้พื้นที่ของชุมชนเป็นพื้นที่เป้าหมาย พัฒนาเป็นแนวทางและแบบอย่างในการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน
2.ร่วมกันจัดกิจกรรมทางวิชาการ และบริการวิชาการในด้านการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น การเผยแพร่องค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนาชุมชนฐานราก 3.ร่วมกันพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านชุมชนในหลักสูตรการศึกษา และหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้ความร่วมมือทางวิชาการตามภารกิจด้านการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน
4.จัดตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อจัดทำข้อเสนอโครงการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาของชุมชนในด้านต่าง ๆ และเสนอขอทุนสนับสนุนงานวิจัยต่อเนื่อง 5.ร่วมดำเนินการอื่นตามที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และเครือข่ายองค์กรชุมชนเห็นสมควร ทั้งนี้โดยมีระยะเวลาความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่าย ระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันลงนาม (13 ธันวาคม) ร่วมกัน
เปิดตัวหนังสือ “นวัตกรรมชุมชนเข้มแข็ง”
นอกจากพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวแล้ว ยังมีการเปิดตัวหนังสือ “นวัตกรรมชุมชนเข้มแข็ง ฐานรากประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย” เขียนโดยศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ความยาว 130 หน้า มีเนื้อหา 6 บท เช่น จากภูมิรัฐศาสตร์โลกสู่ภูมิรัฐศาสตร์ไทย ประสบการณ์เชิงพื้นที่ในการจัดการชุมชนของสังคมไทย แนวทางสร้างชุมชนเข้มแข็งเพื่อประชาธิปไตยฐานรากในสังคมไทย ฯลฯ
ทั้งนี้ผู้เขียนได้เกริ่นนำหนังสือเล่มนี้ว่า “นวัตกรรมชุมชนเข้มแข็งฐานรากประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย” เล่มนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความพยายามของหลายๆ ภาคส่วนที่พยายามจะหาหนทางหลุดพ้นจากวังวนของระบบการเมืองไทยที่วนเวียนขัดแย้งและเกิดการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในที่นี้ผู้เขียนขอกล่าวเฉพาะในส่วนของผู้เขียน ทำไมจึงมองว่าแนวทางของหนังสือเล่มนี้จะเป็นแนวทางที่เป็นทางเลือกและทางรอดของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทยก็ด้วยเหตุผล 4 ประการ
ประการแรก ความเสื่อมถอยของประชาธิปไตยแบบตัวแทนของตะวันตกนับวันมีความถดถอย ท้ายที่สุดแล้วประชาธิปไตยตามแนวทางดังกล่าวกลับสร้างความเหลื่อมล้ำและเสื่อมโทรมของสังคมยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ประชาธิปไตยตามแนวทางของจีนกลับลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความรุ่งเรืองของสังคมโดยรวมมากขึ้น
ประการที่สอง ปัญหาการจัดโครงสร้างสถาบันทางการเมืองของไทยตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันมีการใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ แต่ก็ยังหาความลงตัวของการจัดโครงสร้างทางการเมืองของไทยไม่ได้ นัยก็คือ พลังอำนาจทางสังคมของไทยยังไม่ลงตัว รัฐธรรมนูญเป็นเพียงผลิตผลของความไม่ลงตัวในดุลอำนาจ
ประการที่สาม การที่สังคมไทยไม่สามารถเชื่อมต่อกับ “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ได้อย่างลงตัวไร้รอยต่อนั้น เกิดจากสภาพพื้นฐานของสังคมไทย หรือเรียกว่าสภาพสังคมวิทยาการเมืองของไทยนั้นแตกต่างไปจากสังคมตะวันตก การนำหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยมาออกแบบเชิงกลไกและองค์กรจะต้องเชื่อมโยงกับสภาพสังคมวิทยาของสังคมไทยสามารถเชื่อมต่อกับประชาธิปไตยได้
ประการสุดท้าย สังคมไทยเป็นสังคมที่ชุมชนยังมีบทบาท ในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมาชุมชนต่างๆ ได้พยายามแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่โดยผ่านกระบวนการลองผิดลองถูกมาอย่างยาวนาน และท้ายที่สุดหลายชุมชนได้สร้างนวัตกรรมในการจัดการเชิงองค์กรที่นำไปสู่ความร่วมมือร่วมใจ และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่เกิดจากสติปัญญาและความสามารถของชุมชนไทยที่พยายามหาหนทางแก้ไขปัญหาของตนเองและสังคม
(ผู้ที่สนใจหนังสือเล่มนี้ติดต่อได้ที่คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)โทรศัพท์ : 0-2727-3664 ในวันและเวลาราชการ)
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)