คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ พอช. จัดทำ ‘โครงการสำรวจความพึงพอใจและพัฒนาการให้บริการ ประจำปีงบประมาณ 2565 พบ มีความพึงพอใจใน ระดับดีมากในหลายด้าน

คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ พอช. จัดทำ ‘โครงการสำรวจความพึงพอใจและพัฒนาการให้บริการ ประจำปีงบประมาณ 2565 พบ มีความพึงพอใจใน ระดับดีมากในหลายด้าน

คณะสังคมและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดทำ ‘โครงการสำรวจความพึงพอใจและพัฒนาการให้บริการ ประจำปีงบประมาณ 2565 ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)’ การสำรวจความพึงพอใจของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ประจำปี 2565 เป็นการวิจัยแบบผสมผสานแบบลำดับ (Sequential mixed method) มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจระดับความพึงพอใจ การให้บริการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ด้านกระบวนการ ขั้นตอนการให้บริการของสถาบันฯ และด้านผลที่ได้รับจากการสนับสนุนของสถาบัน) และพัฒนาข้อเสนอแนะ ในการปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับกระบวนการวิจัยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตามลำดับ คือ ขั้นตอนแรก เป็นงานวิจัยเชิง ปริมาณ ทำการสำรวจระดับความพึงพอใจการให้บริการจากตัวแทนโครงการที่ได้รับสนับสนุนงบประมาณจาก สถาบัน (ผู้รับบริการ) จำนวน 660 คน และคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของสถาบันจำนวน 100 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และใช้การสุ่มตัวอย่าง แบบชั้นภูมิจำแนกตามโครงการและภูมิภาค และขั้นตอนที่ 2 เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์เชิงลึก จากคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ผลการประเมินในบางประเด็นมีระดับความพึงพอใจต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ และค้นหาข้อเสนอแนะในการพัฒนาคุณภาพการบริการต่อไป

ข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง

การกระจายตัวของตัวอย่างผู้รับบริการ และคณะอนุกรรมการในปี 2565 มีความสอดคล้องกับผลการสำรวจในปี 2562-2564 โดยพบว่า ผู้รับบริการ และคณะอนุกรรมการ ส่วนใหญ่อายุ 51 ปีขึ้นไป จบการศึกษา ระดับปริญญาตรี และร่วมงานกับ พอช. มากกว่า 7 ปีขึ้นไป โดยที่คณะอนุกรรมการมีอายุมากกว่า ระดับการศึกษาสูงกว่า และทำงานกับ พอช. มายาวนานกว่าโดยเปรียบเทียบกับผู้รับบริการ

เมื่อพิจารณาในมิติเพศ และกลุ่มอาชีพ พบว่า มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างผู้รับบริการ และคณะอนุกรรมการ กล่าวคือ สัดส่วนเพศชายในกลุ่มคณะอนุกรรมการสูงกว่าสัดส่วนเพศชายในกลุ่มผู้รับบริการ(ประมาณร้อยละ 68 เปรียบเทียบกับประมาณร้อยละ 50) สำหรับกลุ่มอาชีพ ผู้รับบริการมีสัดส่วนผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรสูงที่สุด รองลงมือ คือ กลุ่มข้าราชการ/ พนักงานรัฐวิสาหกิจ/หน่วยงานรัฐ และกลุ่มผู้เกษียณอายุจากการทำงาน/ไม่ได้ทำงานประจำ ตามลำดับ ในขณะที่คณะอนุกรรมการมีสัดส่วนผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรน้อยกว่ากลุ่มผู้รับบริการ แต่มีสัดส่วนผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว และประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น NGOs มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ผลการสำรวจความพึงพอใจ

ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.43 คะแนน) และคณะอนุกรรมการมีความพึงพอใจต่ำกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.06 คะแนน) เห็นได้ว่า คณะอนุกรรมการมีแนวโน้มให้คะแนนความพึงพอใจในภาพรวมต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบกับผู้รับบริการเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของความพึงพอใจโดยรวม พบว่า สำหรับผู้รับบริการ มีความพึงพอใจในระดับดีมากทั้ง 3 ด้าน โดยด้านเจ้าหน้าที่/ ผู้ส่งเสริมงานพัฒนาของ พอช. มีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.61 คะแนน) รองลงมา คือ ด้านผลที่ได้รับการสนับสนุนจาก พอช. (ประสิทธิผล) และด้านกระบวนการ ขั้นตอนการให้บริการ (ประสิทธิภาพ) (ค่าเฉลี่ย 4.36 คะแนน และ 4.32 คะแนนตามลำดับ) ส่วนคณะอนุกรรมการ มีความพึงพอใจในระดับดีทั้ง 3 ด้าน และคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในแต่ละด้านไม่แตกต่างกันมากนัก (ค่าเฉลี่ย 4.04 – 4.08) เห็นได้ว่า คณะอนุกรรมการ ไม่เพียงจะมีแนวโน้มให้คะแนนความพึงพอใจในภาพรวมต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบกับผู้รับบริการ แต่ยังมีแนวโน้มให้คะแนนความพึงพอใจในแต่ละด้านต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบอีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงผลการสำรวจในปี 2562-2565

เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการ และคณะอนุกรรมการ ปี 2562-2565 พบว่า 1) คณะอนุกรรมการ มีแนวโน้มประเมินความพึงพอใจในระดับต่ำกว่าผู้รับบริการมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน และ 2)แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในภาพรวม และรายด้าน ทั้ง 3 ด้านของผู้รับบริการ และคณะอนุกรรมการ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือความพึงพอใจในภาพรวมของผู้รับบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับความพึงพอใจรายด้านทั้ง 3 ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเจ้าหน้าที่/ ผู้ส่งเสริมงานพัฒนาของ พอช. ที่คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ความพึงพอใจในภาพของคณะอนุกรรมการ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความพึงพอใจรายด้านทั้ง 3 ด้าน

ด้านผลที่ได้รับการสนับสนุนจาก พอช. (ประสิทธิผล)

ผลการประเมินความพึงพอใจด้านผลที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนของกลุ่มผู้รับบริการและคณะอนุกรรมการในประเด็นย่อย 14 ประเด็น มีการให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมาก–มากที่สุด โดยผู้รับบริการและคณะอนุกรรมการ ให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในประเด็นย่อยที่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและประชาสังคมของ พอช. ได้แก่ 1) การสนับสนุนจาก พอช. ทำให้องค์กรชุมชน/ขบวนชุมชนได้รับการยอมรับเกิดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพิ่มขึ้น และ 2) การสนับสนุนจาก พอช. เปิดโอกาสให้องค์กรชุมชน/ขบวนชุมชนได้มีส่วนร่วมในการ พัฒนาชุมชนท้องถิ่นของตนเองและแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ในขณะเดียวกัน ยังมีบางประเด็นย่อยที่ยังต้องนำไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นตามความเห็นของคณะอนุกรรมการ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างศักยภาพของแกนนำ/องค์กรชุมชน/ขบวนองค์กรชุมชน และได้รับคะแนนความพึงพอใจน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบกับประเด็นย่อยอื่น ๆ ได้แก่ 1) องค์กรชุมชน/ขบวนองค์กรชุมชนทุกระดับ (ตำบล จังหวัด ภาค) มีศักยภาพและความสามารถในการบริหารจัดการงานพัฒนาท้องถิ่นตนเองเพื่อนำไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.65 คะแนน) 2) องค์กรชุมชน/ขบวนองค์กรชุมชนสามารถจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.82 คะแนน) 3) การสนับสนุนจาก พอช. ทำให้องค์กรชุมชน/ขบวนองค์กรชุมชนสามารถประสานทรัพยากร งบประมาณ และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ได้มากขึ้น (ค่าเฉลี่ย 3.82คะแนน) 4) สภาองค์กรชุมชนตำบลสามารถเป็นกลไก/เวทีกลางในการเชื่อมโยงองค์กรชุมชน/ขบวนองค์กรชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นได้ (ค่าเฉลี่ย 3.88 คะแนน) 5) การที่ พอช. สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบท นับตั้งแต่ปี 2563 – ปัจจุบัน ช่วยบรรเทาปัญหา/ความเดือดร้อนให้กับชุมชนในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 (ค่าเฉลี่ย 3.99 คะแนน) และ 6) ระบบฐานข้อมูลของ พอช. เช่น ข้อมูลองค์กรชุมชน/สภาองค์กรชุมชน/กองทุนสวัสดิการชุมชน และข้อมูลโครงการเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในพื้นที่ (ค่าเฉลี่ย 3.99 คะแนน)

ด้านกระบวนการ ขั้นตอนการให้บริการของ พอช. (ประสิทธิภาพ)

ผู้รับบริการ ประเมินความพึงพอใจด้านกระบวนการ ขั้นตอนการให้บริการของ พอช. (ประสิทธิภาพ)ในประเด็นย่อย 10 ประเด็น มีการให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมากที่สุดใน 9 ประเด็นย่อย ยกเว้นความเหมาะสมของเอกสารประกอบการเสนอโครงการ (ไม่มากหรือน้อยเกินไป) ในทุกขั้นตอนและกระบวนการให้บริการ (ค่าเฉลี่ย 4.12 คะแนน)

คณะอนุกรรมการ ประเมินความพึงพอใจด้านกระบวนการ ขั้นตอนการให้บริการของ พอช.(ประสิทธิภาพ) ในประเด็นย่อย 14 ประเด็น มีการให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมากที่สุดใน 2 ประเด็นย่อย คือ 1) มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประชุมให้เหมาะสมและสอดคล้อง ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 เช่น ประชุมออนไลน์ สามารถขับเคลื่อนการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ค่าเฉลี่ย 4.57คะแนน) และ 2) มีการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจ วัตถุประสงค์และบทบาทหน้าที่อนุกรรมการ/คณะทำงาน (ค่าเฉลี่ย 4.32 คะแนน)

ในขณะเดียวกันยังมีบางประเด็นย่อยที่ยังต้องนำไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการขั้นตอนการให้บริการของ พอช. มากยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับคะแนนความพึงพอใจน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบกับประเด็นย่อยอื่น ๆ ได้แก่ 1) การพัฒนา/ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสารสนเทศงานพัฒนาให้มีความทันสมัยและพร้อมใช้งาน (ค่าเฉลี่ย 3.75 คะแนน) 2) ความเหมาะสมของระบบและกลไกการติดตามและประเมินผลงานพัฒนา/โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก พอช. (ค่าเฉลี่ย 3.77 คะแนน) 3) ความคล่องตัวรวดเร็ว และยืดหยุ่นในขั้นตอนและกระบวนการให้บริการ ภายหลังจากการกระจายอำนาจไปที่ภาค/กลุ่มจังหวัด/จังหวัด/ตำบล (ค่าเฉลี่ย 3.83 คะแนน) 4) การพัฒนาและเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการขบวนองค์กรชุมชน/กองเลขาจังหวัดและกองเลขางานประเด็นต่างๆ และจัดทำเครื่องมือสนับสนุน เช่น พัฒนาทักษะการใช้โปรแกรม คู่มือการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ (ค่าเฉลี่ย 3.86 คะแนน) 5) มีการประสานและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ/ท้องถิ่น/ท้องที่/สถาบันการศึกษา/ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน(ค่าเฉลี่ย 3.92 คะแนน)

ด้านเจ้าหน้าที่/ผู้ส่งเสริมงานพัฒนา

ผลการประเมินความพึงพอใจด้านผลที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (ประสิทธิผล) ของกลุ่มผู้รับบริการและคณะอนุกรรมการ ในประเด็นย่อย 6 ประเด็น มีการให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมาก – มากที่สุด โดยผู้รับบริการและคณะอนุกรรมการ ให้คะแนนความพึงพอใจในระดับมากที่สุดใน 2 ประเด็นย่อย คือ 1) คุณธรรม-จริยธรรมในการให้บริการ เช่น ยึดมั่นในระเบียบวินัย ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ขอสิ่งตอบแทน และ 2) บุคลิกภาพเหมาะสมกับการเป็นผู้ให้บริการ โดยมีอัธยาศัยไมตรีในการให้บริการ มีพฤติกรรมการให้บริการที่ให้เกียรติกับผู้รับบริการ และมีความเชื่อมั่นในการพัฒนาให้องค์กรชุมชนเป็นแกนหลักในขณะเดียวกันยังมีบางประเด็นย่อยที่ยังต้องนำไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาด้านเจ้าหน้าที่/ผู้ส่งเสริมงานพัฒนาตามความเห็นของคณะอนุกรรมการ และได้รับคะแนนความพึงพอใจน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบกับประเด็นย่อยอื่น ๆ ได้แก่ 1) ความสามารถในการคลี่คลายปัญหาข้อติดขัดทำให้งานสามารถบรรลุผล 2) การสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกับหน่วยงาน/ภาคีพัฒนาในพื้นที่ในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นร่วมกัน 3) ความรู้ ความสามารถ และทักษะในการให้ข้อมูล ความรู้ ข่าวสารเกี่ยวกับงานพัฒนาชุมชนท้องถิ่นที่ พอช. สนับสนุน และ 4) ลักษณะการทำงานเป็นทีมระหว่างเจ้าหน้าที่และร่วมกับแกนนำ/ขบวนชุมชนในพื้นที

การให้บริการในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019

ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในทุกประเด็นย่อยการประเมิน ส่วนคณะอนุกรรมการมีระดับความพึงพอใจต่ำกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ในระดับมาก – มากที่สุด โดยประเด็นที่คณะอนุกรรมให้คะแนนความพึงพอใจต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ คือ 1) การที่ พอช. ดำเนินการพักชำระหนี้โครงการบ้านมั่นคง พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบท ช่วยบรรเทาปัญหา/ความเดือดร้อนให้กับชุมชนในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 (ค่าเฉลี่ย 3.99 คะแนน) 2) โครงการและงบประมาณที่ พอช. สนับสนุนสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ และเชื่อมโยงทรัพยากรหรือหน่วยงานภายนอกได้ (ค่าเฉลี่ย 4.04 คะแนน) และ 3)ความสามารถออกแบบการทำงาน นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้ (ค่าเฉลี่ย 4.05 คะแนน)

ความแตกต่างของความพึงพอใจระหว่างกลุ่มย่อยประชากรผลการประเมิน พบว่า คะแนนความพึงพอใจในภาพรวม และคะแนนความพึงพอใจรายด้านทั้ง 3 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านผลที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (ประสิทธิผล) ด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ (ประสิทธิภาพ) และด้านเจ้าหน้าที่/ ผู้ส่งเสริมงานพัฒนา มีความผันแปรไม่มากนัก โดยไม่มีความแตกต่างของคะแนนความพึงพอใจระหว่างโครงการที่รับผิดชอบที่แตกต่างกัน และไม่มีความแตกต่างของคะแนนความพึงพอใจระหว่างผู้รับบริการหรือคณะอนุกรรมการที่มีคุณลักษณะที่ต่างกัน โดยมีความแตกต่างอยู่บ้างระหว่างกลุ่มผู้รับบริการและกลุ่มคณะอนุกรรมการ อาจเป็นผลมาจากความคาดหวังที่แตกต่างกัน และความแตกต่างระหว่างพื้นที่ดำเนินการ โดยผู้รับบริการในพื้นที่ดำเนินงานภาคเหนือ มีความพึงพอใจในระดับที่ต่ำกว่าโดยเปรียบทียบกับพื้นที่ดำเนินงานภาคอื่นๆ โดยเฉพาะด้านกระบวนการ ขั้นตอนการให้บริการ(ค่าเฉลี่ย 4.01 คะแนน)

จุดเด่นในการให้การสนับสนุนงานพัฒนา

ผลการสำรวจจุดเด่นของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ในการให้การสนับสนุนงานพัฒนา โดยใช้คำถามปลายเปิด พบว่า กลุ่มผู้รับบริการ และคณะอนุกรรมการ มีคามเห็นสอดคล้องกันว่าจุดเด่นของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) คือ “เป็นหน่วยงานที่ใช้ชุมชนเป็นฐานในการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยมุ่งเน้นการศึกษาปัญหาเชิงพื้นที่และรับฟังปัญหาจากคนในพื้นที่เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา” สอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ขององค์กร

ความรู้สึกผูกพันเชื่อมโยงกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

ระดับความรู้สึกผูกพันเชื่อมโยงกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างผู้รับบริการและคณะอนุกรรมการ โดยคณะอนุกรรมการ มีระดับความรู้สึกผูกพันเชื่อมโยงสูงกว่าโดยเปรียบเทียบกับผู้รับบริการ กล่าวคือ คณะอนุกรรมการ ส่วนใหญ่ “รู้สึกผูกพันกับ พอช. ในฐานหุ้นส่วนพัฒนา” รองลงมา คือ “รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ พอช.” (ร้อยละ 62 เปรียบเทียบกับร้อยละ 16) ส่วนผู้รับบริการ “รู้จักในฐานะพี่เลี้ยง หรือที่ปรึกษางานพัฒนา” มีสัดส่วนสูงที่สุด รองลงมา คือ “รู้สึกผูกพันกับ พอช. ในฐานหุ้นส่วนพัฒนา” (ร้อยละ 41 เปรียบเทียบกับร้อยละ 22)อย่างไรก็ดียังคงมีความท้าทายในการพัฒนาบริการกับกลุ่มผู้รับบริการ ประมาณร้อยละ 23 มีความผูกพันเชื่อมโยงกับ พอช. ในระดับต่ำ คือ “เหมือนคนรู้จัก อยู่ห่าง ๆ ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน” (ร้อยละ 16) และ “รู้จักในฐานะแหล่งทุน” (ร้อยละ 12) โดยคุณลักษณะของผู้รับบริการที่มีความผูกพันเชื่อมโยงกับ พอช. ในระดับต่ำคือ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เข้าร่วมเฉพาะโครงการบ้านพอเพียง (ไม่ได้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนสวัสดิการชุมชน) มีพื้นที่ดำเนินการอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีระดับการศึกษามัธยปลายขึ้นไป และมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ พอช. 5 ปีขึ้นไป

บทบาทของ พอช. กับเป้าหมายการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง

ผลการศึกษาเชิงคุณภาพในประเด็นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน พบว่า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. มีบทบาทในการสนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชน 3 ลักษณะ ได้แก่ 1)การสนับสนุนงบประมาณผ่านโครงการที่ชุมชนนำเสนอ 2) การสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่การจัดทำข้อมูล การวางแผน และการดำเนินการเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและสามารถพึ่งพาตนเองได้ และ 3) การเปิดพื้นที่ในการทดลองปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตามประเด็นที่ชุมชนต้องการด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตามผลการศึกษาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกแง่มุมหนึ่งว่า เนื่องจากข้อจำกัดจากโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ และการบริหารจัดการ ส่งผลให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.มีบทบาทหน้าที่เพียงกำกับและจัดกลุ่มความเข้มแข็งของชุมชน แต่ยังไม่สามารถสนับสนุนให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งและการติดตามประเมินผลความสำเร็จของโครงการ การรักษากำลังคนทำงานกับพื้นที่ควรเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ควรใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบฐานข้อมูลชุนชนเข้ามาช่วยลดภาระงานด้านตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ เพิ่มทักษะการทำงานร่วมกับชุมชนตามวิถีขององค์กร ดังนั้น แม้ว่าผลการประเมินพึงพอใจในภาพรวมของสถาบันจะมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา สำหรับข้อเสนอแนะจากการสำรวจความพึงพอใจในปีงบประมาณ 2565 นี้ มุ่งให้ พอช. ปรับแนวคิด ยุทธศาสตร์การดำเนินงานและความท้าทายใหม่ๆ ในสังคมในหลากหลายด้านและหลากหลายมิติ และพัฒนาระบบโครงสร้างตำแหน่งเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ให้มีความก้าวหน้า

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ