‘คลองสำโรง จ.สงขลา’ จากคลองเน่าเหม็น-ชุมชนแออัด ก้าวย่างสู่การฟื้นฟู “คลองสวย-น้ำใส-ไร้ขยะ-ชุมชนมีสุข” (1)

‘คลองสำโรง จ.สงขลา’ จากคลองเน่าเหม็น-ชุมชนแออัด ก้าวย่างสู่การฟื้นฟู “คลองสวย-น้ำใส-ไร้ขยะ-ชุมชนมีสุข” (1)

บริเวณปากคลองสำโรงชุมชนเก้าเส้งที่เชื่อมต่อกับทะเลอ่าวไทย  กำลังจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา

         คลองสำโรง  อ.เมือง  จ.สงขลา   เป็น 1 ใน  4 ลำคลองสายหลักในประเทศไทยที่กำลังจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา  หลังจากที่มีการเริ่มต้นฟื้นฟูคลองที่เน่าเสียไปแล้ว  คือ  คลองลาดพร้าว  คลองเปรมประชากร  กรุงเทพฯ  และคลองแม่ข่า  จ.เชียงใหม่  โดยการรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางไหลของน้ำ  ก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำหรือตลิ่งกั้นลำคลอง  ขุดลอกคลอง  ก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่  ปรับสภาพภูมิทัศน์ชุมชนให้ดูสวยงาม  ร่มรื่น  ฯลฯ 

               ส่วนที่คลองสำโรงนั้น  ปัจจุบันสภาพน้ำในคลองมีสีดำ  เน่าเหม็น  มีบ้านเรือน  สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำคลอง  และมีสภาพเป็นชุมชนแออัดเสื่อมโทรมไม่ต่างจากคลองที่กล่าวมาเท่าใดนัก  !!

            ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  มีการจัดงาน “Kick off  การออกแบบอนาคตคนริมคลองสำโรง  คลองสวย  น้ำใส  ไร้ขยะ  ชุมชนมีสุข” ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา  อ.เมืองสงขลา  จ.สงขลา โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการ  เวทีเสวนา  การลงพื้นที่ชุมชนสร้างเพื่อความเข้าใจกับชาวชุมชน  การสำรวจข้อมูล  และกิจกรรมฐานการเรียนรู้

นอกจากนี้ยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานต่างๆ  ในจังหวัดสงขลาและส่วนกลาง  รวมทั้งหมด 25 หน่วยงาน  เพื่อร่วมกันพัฒนาชุมชนและคลองสำโรง  โดยมีนายกองเอกพุทธ  กฤชคงพันธุ์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นสักขีพยานการลงนาม  พร้อมด้วยผู้บริหารท้องถิ่น  หน่วยงานต่างๆ  เช่น  อบจ.สงขลา  พมจ.จังหวัดสงขลา  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  เครือข่ายชุมชนจังหวัดสงขลา  และผู้แทนชุมชนริมคลองสำโรง

ย้อนอดีตคลองสำโรง-ทะเลสาบสงขลา

          คลองสำโรง  เป็นคลองธรรมชาติ  มีที่มาจากต้นสำโรง  เป็นไม้ยืนต้น  ในอดีตคงจะมีต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่หนาแน่นบริเวณริมคลอง  รวมทั้งบริเวณภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากคลอง  ผู้คนในท้องถิ่นจึงเรียกชื่อคลองและภูเขาตามชื่อต้นไม้ชนิดนี้ (ปัจจุบันเขาสำโรงอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง  อ.เมืองสงขลา)

คลองสำโรงมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตรเศษ  เชื่อมระหว่างทะเลสาบสงขลากับอ่าวไทย  ในอดีตเป็นร่องน้ำใหญ่  มีความกว้างประมาณ  50  เมตร  เรือสินค้าหรือเรือสำเภาต่างชาติสามารถแล่นผ่านทะเลอ่าวไทยเข้าสู่คลองสำโรงเพื่อไปค้าขายกับเมืองท่าต่างๆ ในทะเลสาบสงขลาได้  (นอกเหนือจากเส้นทางสายหลัก  คือ  ปากทะเลสาบสงขลา  บริเวณ ‘หัวเขาแดง’  ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกสงขลา  อยู่ห่างจากปากคลองสำโรงประมาณ 20 กิโลเมตร)

ภาพถ่ายดาวเทียม  เส้นสีแดงแสดงแนวคลองสำโรงเชื่อมกับทะเลสาบสงขลา (ซ้าย) และเชื่อมกับทะเลอ่าวไทย (ขวา)

ทะเลสาบสงขลา  มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ตารางกิโลเมตรเศษ  ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด  คือ  สงขลา  พัทลุง  และนครศรีธรรมราช  มีเมืองสำคัญตั้งอยู่รอบทะเลสาบ  เช่น  สิงหนคร  สทิงพระ  ระโนด  ปากพะยูน   ฯลฯ  โดยเฉพาะที่บริเวณเกาะสี่  เกาะห้า  อ.ปากพะยูน  จ.พัทลุง  มีสินค้าสำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  คือ  ‘รังนกนางแอ่น’ ที่ส่งไปขายเมืองจีนตั้งแต่สมัยโบราณ  (มูลค่าสัมปทานช่วงปี 2565-2570 จำนวน 450 ล้านบาท)

จากสภาพภูมิศาสตร์  ทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งรองรับน้ำจืดจากสายคลองต่างๆ  ที่ไหลมาจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบ  และมีน้ำทะเลจากอ่าวไทยที่หนุนเข้ามา  ทำให้ทะเลสาบสงขลามีทั้งน้ำจืด  น้ำกร่อย  และน้ำเค็มผสมกัน  คือตอนบนของทะเลสาบเป็นน้ำจืด  ตอนกลางเป็นน้ำกร่อย  และตอนล่างเป็นน้ำเค็ม  

สัตว์น้ำในทะเลสาบสงชลาจึงมีหลากหลาย  อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้งปลานานาพันธุ์  พืช  ผักน้ำ  เป็นแหล่งอาศัยของนกและสัตว์ต่างๆ   เป็นแหล่งอาหารขนาดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนรอบทะเลสาบมาช้านาน

ปลาท่องเที่ยว (ตัวเรียวยาวคล้ายปลาหลด) ชาวประมงหาได้เฉพาะฤดูนี้ในทะเลสาบสงขลาบริเวณที่เชื่อมต่อกับคลองสำโรง

ส่วนคลองสำโรงแม้จะมีความยาวเพียง 5.4 กิโลเมตร  แต่ในอดีตสายน้ำนี้ที่เชื่อมระหว่างทะเลอ่าวไทยกับทะเลสาบสงขลาก็มีความสำคัญไม่น้อย  เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์น้ำนานาชนิด  เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน  กุ้ง  หอย  ปู  ปลา  อุดมสมบูรณ์   เป็นแหล่งอาหารสำคัญของคนริมคลอง  เป็นที่หลบลมมรสุมของเรือใหญ่น้อย   ทั้งยังแล่นเรือจากทะเลอ่าวไทยผ่านคลองสำโรงเข้าสู่ทะเลสาบสงขลาได้สะดวก  ไม่ต้องอ้อมไปทางปากทะเลสาบที่อยู่ห่างจากปากคลองสำโรงประมาณ 20 กิโลเมตร

อำนวย  สุวรรณละออง  วัย 61 ปี  อดีตชาวประมงพื้นบ้านชุมชนท่าสะอ้าน  ริมคลองสำโรงตอนปลายที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลา  บอกว่า  ก่อนปี 2527 ตอนนั้นน้ำในคลองสำโรงยังไม่เน่าเสีย  ชาวบ้านยังหาปลามากินและขายไม่อดอยาก  เช่น  ปลากะพงตัวใหญ่ๆ ขนาด 5-6 กิโลกรัม  ปลากระบอกหาได้วันหนึ่งเกือบเต็มลำเรือ

“เมื่อก่อน…วันไหนไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี  จะเอาหัวปลาที่กินเหลือจากเมื่อวานผูกเชือกแล้วโยนลงในคลอง  สักพักปูดำจะมารุมกินหัวปลา  แล้วสาวเชือกเข้ามา  เอาสวิงตัก  ได้ปูตัวเท่าฝ่ามือ  กุ้งกุลาในคลองก็มีตัวเท่าข้อมือผู้ใหญ่     ไม่ต้องออกไปหากินไกล  แค่ในคลองก็พออยู่ได้”  อำนวยบอกถึงวันวานที่ไม่หวนคืน

เพราะวันนี้น้ำในคลองสำโรงตลอดสายคลองเน่าเสีย  มีกลิ่นเหม็น  ดำกว่าน้ำโอเลี้ยง แต่กินไม่ได้ !!

บ้านเรือนริมคลองสำโรงบริเวณใกล้โรงงานคิงฟิชเชอร์  อ.เมืองสงขลา  บางช่วงมีความกว้างประมาณ 7 เมตร        จากเดิมที่เคยกว้าง 40-50 เมตร

จอมพลสฤษดิ์และการก่อเกิด ‘เก้าเส้ง’ ชุมชนปากคลองสำโรง

          ชุมชนเก้าเส้ง  ตั้งอยู่ปากคลองสำโรงบริเวณที่เชื่อมต่อกับทะเลอ่าวไทย  ไม่ไกลจาก ‘แหลมสมิหลา’ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดสงขลา  ชุมชนแห่งนี้เริ่มก่อตั้งขึ้นมาในช่วงปี 2502  หรือราว 63 ปีมาแล้ว  เป็นชุมชนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวและสะท้อนภาพชุมชนริมคลองสำโรงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ดี

ใจดี  สว่างอารมณ์  หรือ ‘ป้าเอียด’  วัย 72 ปี  อดีตผู้นำชุมชนเก้าเส้ง (เป็นประธานชุมชนช่วงปี 2542-2548) เล่าว่า  ป้าเกิดเมื่อปี 2493  ที่จังหวัดพัทลุง  พ่อแม่มีอาชีพทำนา  แต่ได้ข้าวไม่พอเลี้ยงดูครอบครัว  พ่อแม่จึงอพยพเข้ามาทำมาหากินที่จังหวัดสงขลาที่อยู่ติดกัน  ป้าได้เรียนถึงชั้น ป. 4 ก็ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน  ทำงานหลายอย่าง 

พอเริ่มเป็นสาวก็มารับซื้อปลาแห้ง  ปลาเค็มจากชาวประมงที่เก้าเส้งเอาไปขายที่ชายแดนมาเลเซียด้าน อ.สุไหงโก-ลก  จ.นราธิวาส  พอค้าขายเริ่มดี  ประมาณปี 2511  ครอบครัวจึงย้ายเข้ามาอยู่ที่เก้าเส้งเพื่อจะรับซื้อปลาได้สะดวก  โดยซื้อบ้านต่อจากคนที่เข้ามาอยู่ก่อน  ตอนนั้นป้าอายุได้ 18 ปีแล้ว

‘ป้าเอียด’

“คนรุ่นแรกๆ ที่มาอยู่เก้าเส้ง  พวกเขาบอกว่าเข้ามาอยู่เมื่อปี 2502  ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง  เดิมอยู่ที่แหลมสนอ่อน  ปีนั้นจอมพลสฤษดิ์เป็นนายกฯ  ชาวบ้านเล่าว่าจอมพลสฤษดิ์มาที่แหลมสมิหลา  แล้วเดินมาเที่ยวที่แหลมสนอ่อนที่อยู่ติดกัน  แต่ท่านเดินไปเหยียบเอากองอุจจาระของชาวประมง  เพราะสมัยนั้นยังไม่มีส้วม  ท่านจึงสั่งให้ย้ายชุมชนชาวประมงที่แหลมสนอ่อนมาอยู่ที่เก้าเส้ง  ปากคลองสำโรง  ห่างกันประมาณ  5 กิโลฯ จนกลายเป็นชุมชนใหญ่จนถึงทุกวันนี้”    ป้าเอียดเล่าจุดกำเนิดของชุมชนเก้าเส้ง    

นั่นเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ  แม้ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าจอมพลสฤษดิ์เดินทางมาที่จังหวัดสงขลาด้วยภารกิจใด  และในช่วงเวลาใดของปี 2502  แต่หลักฐานด้านหนึ่งก็อาจจะช่วยต่อภาพให้เห็นการพัฒนาเมืองสงขลาได้บ้าง !!

จากการสืบค้นประวัติของจอมพลสฤษดิ์  พบว่า  ในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2502  จนถึงช่วงปลายปี 2506 นั้น   จอมพลสฤษดิ์เป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาประเทศหลายอย่าง  โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเป็นประเทศส่งสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดโลก  เช่น  การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกเพื่อส่งสินค้าไปต่างประเทศ  และการนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจมาใช้เป็นครั้งแรกและฉบับแรกในปี 2504

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2502  คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่องการสร้างท่าเรือว่า       “ท่าเรือที่ดีนั้นควรจะสร้างที่ศรีราชา  และควรมีท่าเรืออีกสักแห่งที่จังหวัดสงขลา  และให้กระทรวงคมนาคมรับไปทำโครงการตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีเสนอ  เพื่อพิจารณาต่อไป…”

นี่เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นถึงเหตุผลที่จอมพลสฤษดิ์ต้องเดินทางมาดูชายทะเลสงขลาด้วยตนเองในปี 2502  เพราะเป็นโครงการที่ท่านจอมพลเสนอเอง  แต่ท่าเรือน้ำลึกสงขลากว่าจะได้ลงมือศึกษาก็ย่างเข้าปี 2505  โดยรัฐบาลได้ว่าจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาจากสหรัฐอเมริกามาสำรวจและศึกษา  ขณะที่จอมพลสฤษดิ์เสียชีวิตไปก่อนในช่วงปลายปี 2506  

อย่างไรก็ตาม  การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสภาพเศรษฐกิจของประเทศ  ทำให้การศึกษาความเหมาะสมการก่อสร้างท่าเรือสงขลามีการเปลี่ยนแปลงไปมา  รวมทั้งยังมีข้อเสนอให้ก่อสร้างท่าเรือที่บริเวณปากคลองสำโรงด้วยจนถึงปี 2525  สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  ท่าเรือน้ำลึกสงขลาจึงได้เริ่มต้นก่อสร้างที่บริเวณหัวเขาแดง  ปากทะเลสาบสงขลา และแล้วเสร็จในปี 2531…!!

(ซ้าย) กลางภาพ  จะเห็นปากคลองสำโรงบริเวณชุมชนเก้าเส้ง (ปัจจุบันแยกเป็นชุมชนบาลาเซาะห์) ที่ไหลออกทะเลอ่าวไทยมีสีดำ เพราะน้ำเน่าจากคลองสำโรงไหลออกมา  ส่วนน้ำทะเลไหลเข้าไปหมุนเวียนไม่ได้  เพราะมีตะกอนทรายทับถมปิดกั้นปากคลอง

เก้าเส้งกับการเปลี่ยนแปลง

ย้อนกลับมาที่ชุมชนเก้าเส้ง  แม้ว่าชาวประมงที่ชุมชนเก้าเส้งจะโชคดีที่ไม่ต้องถูกรื้อย้ายเป็นครั้งที่ 2  เพราะรัฐบาลในสมัยต่อมาไม่ได้เลือกพื้นที่ปากคลองสำโรงเป็นสถานที่ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา  แต่ชุมชนเก้าเส้งก็เสี่ยงกับการถูกไล่รื้อมาตลอด  เพราะที่ดินที่ชาวบ้านปลูกสร้างบ้านเรือน  จอดเรือประมง  ตากปลา  ทำปลา  เป็นที่ดินราชพัสดุที่ทางเทศบาลสงขลาดูแลอยู่  เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 21 ไร่เศษ  มีชาวบ้านอยู่อาศัยในช่วงแรกประมาณ  56 หลังคาเรือน  ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงจากแหลมสนอ่อนที่โดนไล่มา  (พื้นเพเป็นคนสทิงพระ  ระโนด  และชาวมุสลิมจากสงชลา)

 ป้าเอียดบอกว่า  ชุมชนเก้าเส้งเมื่อก่อนนั้นยังมีสภาพเป็นป่าเสม็ดริมทะเล  เป็นที่ดินรกร้าง  สมัยก่อนเทศบาลใช้เป็นที่ฝังกลบอุจจาระที่ขนใส่ถังเมล์จากในเมืองสงขลามาทิ้ง  มีประมาณ 2 หลุมใหญ่   แต่ช่วงที่ป้ามาอยู่เมื่อปี 2511 นั้น  เทศบาลได้กลบหลุมทั้งหมดแล้ว  และยังไม่มีการตัดถนนเลียบชายทะเลและถนนผ่านหน้าชุมชน 

“ชาวบ้านที่มาอยู่รุ่นแรกๆ  ไม่มีน้ำประปา  ไม่มีไฟฟ้า  ต้องขุดบ่อน้ำใช้  หรือใช้น้ำคลอง  เพราะตอนนั้นน้ำยังไม่เน่าเสีย  กลางคืนต้องจุดตะเกียง   คนภายนอกไม่กล้าเดินเฉียดมาที่เก้าเส้ง  เพราะทั้งมืด  ทั้งเปลี่ยว”  ป้าเอียดบอก

ต่อมาในปี 2520  ชุมชนเก้าเส้งเริ่มหนาแน่นขึ้น  เพราะมีหน่วยราชการต่างๆ ขยายพื้นที่เข้ามา   มีการตัดถนนเลียบชายหาด  ตัดถนนผ่านหน้าที่พักทหารเรือ (ผ่านหน้าชุมชน) มีโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัตว์น้ำ  แปรรูปอาหารทะเลเข้ามาตั้งในจังหวัดสงขลา   ฯลฯ  ทำให้มีชาวบ้านจากที่ต่างๆ  เข้ามาอยู่อาศัยเพื่อทำงานรับจ้าง  บางส่วนเข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนริมคลองสำโรง

ป้าเอียดเล่าต่อว่า  ในปี 2526 เริ่มมีข่าวว่าทางเทศบาลจะใช้พื้นที่ชุมชนเก้าเส้งซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุมาพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว  เป็นสวนสาธารณะเพื่อพักผ่อนของประชาชน  เพราะสภาพชุมชนในเวลานั้นเริ่มแออัด  ทรุดโทรม     มีกลิ่นเหม็นจากการทำปลา  ตากปลา  ฯลฯ  เทศบาลสงขลาจึงต้องการพื้นที่เอามาพัฒนา

“พอปี 2527 ชาวบ้านเริ่มรวมกลุ่มกันเพราะกลัวจะโดนไล่ที่  มีการจัดตั้งกรรมการชุมชน  ป้าก็เป็นกรรมการด้วย  มีกลุ่มแม่บ้าน  ช่วยกันทำน้ำเต้าหู้เป็นอาหารเสริมให้ชุมชน  ต่อมามีเจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยเข้ามาแนะนำการรวมตัว  เพื่อต่อสู้เรื่องที่อยู่อาศัย  พาไปดูงานที่ชุมชนบ่อนไก่  ชุมชนริมทางรถไฟที่กรุงเทพฯ  ได้เห็นชาวบ้านรวมตัวกันต่อสู้  เห็นเรื่องการตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย  เรื่องการตั้งศูนย์เด็กเล็กในชุมชน         พอกลับมาเก้าเส้งก็มาประชุมกับชาวบ้านและกรรมการ”  ป้าเอียดบอกถึงจุดเริ่มต้นการรวมตัวของชาวเก้าเส้ง

               ในปี 2531 ชาวชุมชนเก้าเส้งได้ร่วมกันก่อสร้าง ‘ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน’  เพื่อให้นำบุตรหลานวัย 3-6 ขวบมาฝากดูแล  เสริมสร้างพัฒนาการ  พ่อแม่จะได้ออกไปทำมาหากิน   โดยชาวชุมชนช่วยกันบริจาคเงิน  ได้เงินกว่า 1 แสนบาท  หลังจากนั้นจึงมีกิจกรรมการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง  เช่น  จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ในปี 2533  โดยให้ชาวบ้านออมเงินเข้ากลุ่มเดือนหนึ่งอย่างต่ำ 50 บาท  ไม่เกิน 200 บาท  ยามเดือดร้อนจำเป็นสามารถกู้ยืมไปหมุนเวียนหรือประกอบอาชีพได้

ชุมชนชาวประมงเก้าเส้งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม  ด้านบนห่างออกไปไม่ไกลเป็นวัด ‘เก้าแสน’  เป็นหมุดหมายของชาวเรือที่จะล่องเรือเข้าสู่คลองสำโรง  สันนิษฐานว่าชาวจีนในสมัยก่อนที่อพยพทางเรือเข้ามาอยู่สงขลาออกเสียงไม่ชัดจึงเรียกหมุดหมายนี้  จาก “เก้าแสน” เป็น “เก้าเส้ง”

‘บ้านมั่นคง’ ชุมชนเก้าเส้ง

               ในปี 2546  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ มีโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนที่ไม่มีความมั่นคงในที่ดินและที่อยู่อาศัยทั่วประเทศได้ลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหา  โดย พอช.มีบทบาทเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือเป็นพี่เลี้ยง  เช่น  ส่งเสริมกระบวนการรวมกลุ่ม  การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์  สนับสนุนสินเชื่อ  ฯลฯ  โดยมีชุมชนนำร่องที่ได้รับการคัดเลือก  10 แห่งทั่วประเทศ  เช่น  บ่อนไก่  กรุงเทพฯ  แหลมรุ่งเรือง  จ.ระยอง  บุ่งคุก  จ.อุตรดิตถ์  เก้าเส้ง     จ.สงขลา  ฯลฯ

               ป้าเอียด เล่าว่า  ชุมชนเก้าเส้งทำโครงการบ้านมั่นคงเพราะตอนนั้นชุมชนหนาแน่นแล้ว  มีประมาณ 480 ครอบครัว  สภาพบ้านส่วนใหญ่ทรุดโทรม  บ้านบางหลังสร้างมาตั้งแต่ปี 2502   สมัยโดนย้ายมาจากแหลมสนอ่อน          มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการประมาณ 340 ครอบครัว  โดยให้ผู้เข้าร่วมออมเงินเป็นรายเดือนเพื่อให้ได้เงินออมจำนวน 10 % ของวงเงินที่จะใช้ซ่อม-สร้างบ้าน  เช่น  หากจะกู้  300,000 บาท  จะต้องออมเงินให้ได้จำนวน 30,000 บาท  โดย พอช.สนับสนุนสินเชื่อทั้งหมด 36 ล้านบาท  (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี) และสนับสนุนงบสาธารณูปโภครวม 9.6     ล้านบาท

ต่อมาในปี 2547 กรมธนารักษ์ที่ดูแลที่ดินราชพัสดุได้ให้ชาวบ้านที่รวมตัวกันเป็น ‘สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงเก้าเส้ง  จำกัด’ เช่าที่ดินเนื้อที่ 21 ไร่  2 งานเศษ  ในราคาถูก  คือ  2 บาท/ตารางวา/เดือน  ระยะเวลา 30 ปี      เพื่อชาวบ้านจะได้อยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  ไม่ใช่เป็น ‘ผู้บุกรุก’ ที่ดินหลวงอีกต่อไป

ป้าเอียดบอกว่า   โครงการบ้านมั่นคงชุมชนเก้าเส้งส่วนใหญ่ชาวบ้านจะกู้เงินมาซ่อมแซมหรือปรับปรุงต่อเดิมบ้านในที่ดินเดิม  ไม่ต้องย้ายไปไหนหรือกลัวว่าเทศบาล (ในฐานะที่ดูแลที่ดินราชพัสดุในท้องถิ่น) จะมาขับไล่อีกต่อไป  โดยชาวบ้านเข้าร่วมโครงการจริง 127 ครอบครัว  ซ่อม-สร้างบ้านเสร็จในปี 2549

ปัจจุบันชุมชนเก้าเส้งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  จากเดิมมีสภาพเป็นที่ดินรกร้าง  ที่ดินตาบอด  กลางคืนมืดและเปลี่ยว  แต่ทุกวันนี้มีถนนตัดผ่านทั้งด้านหน้าและหลัง  บ้านเรือนที่อยู่ริมถนนเป็นแหล่งขายอาหาร  เครื่องดื่ม        ขายของชำ  ปลาแห้ง  ปลาสด  อาหารทะเล  ผู้คนพลุกพล่าน  ไม่เปลี่ยวมืดดังแต่ก่อน

ส่วนศูนย์เด็กเล็กที่ชาวบ้านร่วมแรงเงิน  แรงใจสร้าง  ปัจจุบันเทศบาลนครสงขลาเข้ามาบริหารและสนับสนุนงบประมาณ  มีกลุ่มออมทรัพย์ที่มีสมาชิกชาวบ้านกว่า 300 คนได้พึ่งพาอาศัย  กู้ยืมได้สูงสุดถึง 500,000 บาท  และมีสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงเก้าเส้ง  จำกัด  เป็นเสมือนธนาคารของชุมชน  มีสมาชิกกว่า 400 คน  สามารถกู้ยืมได้สูงสุด 300,000 บาท  ฯลฯ

“ป้าภูมิใจที่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคง  เพราะทำให้ชาวบ้านมีที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าเดิม  ไม่ต้องกลัวโดนไล่อีก  ชาวบ้านก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น…ส่วนเรื่องการฟื้นฟูคลองสำโรงก็ต้องร่วมกันทำต่อไป  เพราะเมื่อก่อนชาวบ้านเคยช่วยกันดูแล  มีเรือที่หน่วยงานเข้ามาสนับสนุน 1 ลำ  ช่วยกันเก็บขยะในคลอง  เอาวัชพืชในคลองขึ้นมา  เอาน้ำจุลินทรีย์เทใส่คลองให้น้ำดีขึ้น…ถ้าทุกชุมชน  ทุกหน่วยงานมาร่วมมือกัน   ป้าเชื่อว่าคลองสำโรงจะฟื้นฟูกลับมาดีได้”

ปากคลองสำโรงบริเวณชุมชนเก้าเส้ง (ปัจจุบันแยกเป็นชุมชนบาลาเซาะห์) หากเป็นช่วงน้ำทะเลขึ้น  หรือมีการขุดลอกตะกอนทรายที่ปิดกั้นปากคลองออก  จะทำให้น้ำเสียจากในคลองไหลออกมา  น้ำทะเลจะเข้าไปหมุนเวียน  ทำให้สภาพน้ำดีขึ้น

                                         

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ